น้ำมันมะกอกธรรมชาติ ใช้กรรมวิธีสกัดเย็น เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น กิฟฟารีน เมอริเนี่ยน โอลีฟ ออยล์ (500 – 700 มล.)
Giffarine Merinian Olive Oil Natural olive oil Using the cold extraction method, Extra Virgin (500 – 700 ml.)
น้ำมันมะกอกธรรมชาติ เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น อิ่ม อร่อย เพื่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกกิฟฟารีน น้ำมันมะกอกธรรมชาติ ใช้สำหรับทอดและปรุงอาหาร ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ใช้กรรมวิธีสกัดเย็นแรก (First Cold Press) ที่อุณหภูมิไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส ทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพสูง มีกรดไขมันดี ช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด และอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ใช้สำหรับผัด ทอด ทำน้ำสลัดและปรุงอาหาร พิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบ โดยเลือกวัตถุดิบจากแหล่งเพาะปลูกที่ดีที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในประเทศสเปน ควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่เก็บเกี่ยว จนถึงสกัดผ่านกระบวนการบีบเย็นแรก (First Cold Press) ที่อุณหภูมิไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส ไม่มีการใช้สารเคมีในการสกัดและแยกน้ำมัน ทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่มีปริมาณพฤษาเคมีที่ครบถ้วนเหมือนธรรมชาติเกือบ 100% มีจุดก่อควัน (Smoke Point) มากกว่า 222 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถนำมาประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงได้อย่างปลอดภัย
Health Tips: อร่อยกับมื้ออาหารสุขภาพได้ง่ายๆ ด้วย น้ำมันมะกอกกิฟฟารีน เมอริเนี่ยน โอลีฟ ออยล์
- รับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะ
- ใช้ทำน้ำสลัดแทนน้ำมันทั่วไป
- ใช้หมักเนื้อสัตว์ก่อนนำไปประกอบอาหารต่างๆ
- ทอดอาหารหรือเป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ
ประโยชน์จากการใช้น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นในการประกอบอาหาร
- ลดสารพิษและสารก่อมะเร็ง ที่เกิดจากการทอดอาหาร
- ลดสารพิษและสารก่อมะเร็ง เมื่อหมักอาหารด้วยน้ำมันมะกอกคุณภาพสูงก่อนนำไปปิ้งย่าง
- มีกรดโอเมก้า 9 สูงสุด มีส่วนช่วยลดคอลเรสเตอรอลในเลือด
- อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล และไฮดรอกซีไทโรซอล มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ การปรุงอาหาร ด้วยน้ํามันมะกอก สกัดเย็น เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น
นํ้ามันมะกอก คุณค่า…สูงสุดของ นํามันมะกอก ที่ได้รับจากกระบวนการ 9 ขั้นตอน ได้มาอย่างไร
- สายพันธุ์ที่ปลูก ต้องเป็นสายพันธุ์ Picual (พิคอัล) จะให้ปริมาณ Hydroxytyrosol และสารสําคัญอื่นๆ สูงสุด
- ต้องปลูกห่างกัน ใบและกิ่งของแต่ละต้นห้ามชนกันเป็นอันขาด เพื่อป้องกันการแย่งอาหารและแสงแดด
- การดูแล ไม่ใช้ระบบชลประทาน ไม่รดน้ํา ต้นมะกอกที่ขาดน้ํา จะสร้างสารล้ําค่า โดยเฉพาะ Hydroxytyrosol ปริมาณสูงสุด
- ปลูกแบบออร์แกนิค ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเร่งการออกดอก มะกอกจะติดผลน้อย ไม่ดก ไม่แย่งอาหารกัน จึงมี Hydroxytyrosol ปริมาณสูง รวมทั้งสารสําคัญอื่นๆ เช่น Polyphenols, Flavonoids, Vitamin E ฯลฯ มีปริมาณสูงขึ้นด้วย
- การเก็บลูกมะกอก ต้องเก็บด้วยมือ เพื่อเลือกลูกที่ไม่สุกหรือดิบเกินไป (ความสุขระดับ 3.5-4.5) ห้ามใช้วิธีเก็บโดยเครื่องจักร เพราะจะได้ลูกที่สุก เกินไปหรือดิบเกินไป สารสําคัญจะลดลงกว่าช่วงเวลาที่สุกพอดี (ช่วงที่เปลือกบางส่วนเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงอ่อน)
- ลูกมะกอกที่เด็ดจากต้น ต้องรีบนําเข้าสู่กระบวนการทันที หากเก็บไว้ นานเกิน 12-24 ชั่วโมง ลูกมะกอกจะสุก ทําให้สารสําคัญลดลง
- บีบมะกอกอย่างช้าๆ บีบเย็น เพื่อไม่ให้เกิดความร้อน มาตรฐานยุโรป ของการบีบเย็น ต้องไม่ให้อุณภูมิของลูกมะกอกสูงกว่า 27 ‘C ถ้าดีกว่านั้น ต้องให้ต่ํากว่า 24 C (ซึ่งคือ กระบวนการที่เรานํามาใช้
- กระบวนการแยกน้ํามันมะกอกออกจากน้ํา และกากห้ามเติมน้ําเป็นอันขาด เพราะการเติมน้ํา เพื่อให้น้ํามันมะกอกแยกตัวลอยขึ้นบนผิวน้ํา แล้วใช้เครื่อง หมุนเหวี่ยงความเร็วสูง เพื่อแยกน้ํามัน, น้ํา และกากออกจากกัน จะทําให้ Hydroxytyrosol ซึ่งสามารถละลายได้ทั้งในน้ําและน้ํามันจะละลายปนไป กับน้าเกือบหมด น้ํามันมะกอกของเรา ไม่ใช้น้ําในกระบวนการแยกน้ํามัน แต่ใช้แถวของ แผ่นโลหะชนิดพิเศษบางมาก ด้วยคุณสมบัติของน้ํากับน้ํามันที่มีแรงตึงผิว ต่างกัน น้ํามันจะเกาะติดแผ่นโลหะ แล้วปาดน้ํามันใส่ภาชนะ เรียกกระบวนการ นี้ว่า Sinolea Method เราจึงได้น้ํามันที่มีคุณภาพสูงสุด ถึงจะมีต้นทุนการ ผลิตที่สูงมาก แต่ก็คุ้มค่ากับประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับ
- การเก็บรักษาต้องเก็บในถังสุญญากาศ, ไม่โดนออกชิเจน, ไม่โดนแสง เพื่อคงคุณค่าสารสําคัญให้คงอยู่อย่างครบถ้วนยาวนาน
นํ้ามันมะกอกที่ได้รับจากกระบวนการ 9 ขั้นตอนข้างต้น จะมีคุณภาพ ดีที่สุดในโลก เหนือกว่าน้ํามันมะกอกที่วางขายทั่วไปหลายสิบเท่า อุดมด้วย Hydroxytyrosol, Oleuropein, Oleocanthal, Flavonoids, Vitamin E, Carotenoids,กรดไขมันโอเมก้า 9 ฯลฯ ให้ผลลัพธ์มหัศจรรย์ต่อสุขภาพ และความงาม เลือกรับประทานน้ํามันมะกอกที่ดีที่สุดในโลกตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพและ ความงามที่ยั่งยืน คงความเป็นหนุ่ม สาว ให้ยาวนานดังใจปรารถนา
ประโยชน์ของ กรดไขมันโอเมก้า 9
- ดีที่สุดในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และผม เพราะไขมันที่ผิวหนังและเส้นผม มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกรดไขมันโอเมก้า 9 มากที่สุด
- ปรับสมดุลของกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6
- ปกป้องไขมันจากการจู่โจมของ สารอนุมูลอิสระ เท่ากับปกป้องทุกเซลล์ของร่างกายเพราะในทุกเซลล์มีไขมันเป็นส่วนประกอบ
- ลดการอักเสบ ลดการหดตัวของหลอดเลือดและหลอดลม
- ลดไขมันชนิดเลว (LDL) เพิ่มไขมันชนิดดี (HDL)
- ป้องกันโรคหัวใจ, อัมพฤกษ์, อัมพาต, มะเร็ง ฯลฯ
น้ํามันมะกอก แบ่งได้กี่ประเภท?
- น้ํามันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น (Extra Virgin Olive Oil) คือน้ํามันมะกอกที่ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ใช้วิธีบีบเย็น ครั้งแรกเท่านั้น (First Cold Press) ควบคุมปริมาณกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ไม่ให้เกิน 0.8% จัดเป็นน้ํามันมะกอกชนิดดีที่สุด มีสารสําคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่าน้ํามันมะกอกชนิดอื่น
- น้ํามันมะกอกเวอร์จิ้น (Virgin Olive Oil) คือน้ํามันมะกอกที่ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี แต่มีคุณภาพ ด้อยกว่าประเภทที่ 1 ควบคุมปริมาณกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ไม่ให้เกิน 2%
- นํ้ามันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil) คือ น้ํามันมะกอกที่ใช้กระบวนการทางเคมี มีการสกัดกลิ่น, สี, รส ออกไป ทําให้สารสําคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหายไปจํานวนมาก
- น้ํามันมะกอก (Olive Oil หรือ Pure Olive Oil) คือ น้ํามันมะกอกที่มีการผสมระหว่างน้ํามันมะกอกชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น กับ น้ํามันมะกอกผ่านกรรมวิธี เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ขึ้นบ้าง และราคาไม่แพงเกินไป
- น้ํามันกากมะกอก (Olive Pomace Oil) คือ น้ํามันมะกอกที่สกัดจากกากมะกอก โดยใช้ตัวทําละลายทางเคมี เป็นน้ํามันมะกอกที่มีคุณภาพต่ําสุด
คุณสมบัติ ของ น้ํามันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น เกรดคุณภาพสูง มีอะไรบ้าง?
น้ํามันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น เกรดคุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติ โดดเด่นกว่าน้ํามันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น เกรตพื้นฐานทั่วไป คือ ค่าความหืน (PV) ต่ํามาก (ต่ํากว่า 7.5 มก. สมมูลย์) และมีปริมาณกรดไขมันอิสระต่ํามาก (ต่ํากว่า 0.3%) ทําให้มีจุดเกิดควันสูงถึง 222 องศาเซลเซียส เหมาะสําหรับการทอดที่ใช้ความร้อนสูง และสามารถทอดช้า ได้หลายครั้ง เมื่อน่ามาทอดอาหารจึงเกิดผลดี คือ
1. เมื่อเทียบกับตัวน้ำมันอื่นๆ เมื่อถูกความร้อนก็จะเริ่มกระบวนการ Oxidation แตกตัวเป็นสาร Aldehyde และสารโพลาร์ (Polar Compound) ซึ่งจะแตกตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเลยจุดเกิดควัน (Smoke Point) แต่ถ้าเป็นน้ํามันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น คุณภาพสูงจะยับยั้ง กระบวนการ Oxidation ทําให้มีสาร Aldehyde และสารโพลาร์ เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้จะทอดด้วยความร้อนสูง สารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำอาหารทอด ปิ้ง ย่างเหล่านี้ล้วนเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในร่างกาย (อ้างอิงที่ 1)
2. เมื่อใช้ทอดเนื้อสัตว์ จะเกิดสารก่อมะเร็ง เฮทเทอโรไซคลิกเอมีน (Heterocyclic Amine) น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการทอดด้วยน้ำมันอื่น (อ้างอิงที่ 3)
3. เมื่อใช้ทอดแป้ง จะเกิดสารอคริลาไมด์ (Acrylamide) น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการทอดด้วยน้ำมันอื่น (อ้างอิงที่ 4)
4. เมื่อใช้หมักเนื้อหรือหมักอาหาร ด้วยน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้นคุณภาพสุง 2 – 4 กรัม ก่อนนำไปปิ้งหรือย่าง จะลดสารก่อมะเร็งลงอย่างมาก (อ้างอิงที่ 5)
จุดที่ก่อให้เกิดควันสูง (High Smoke Point)
จุดที่ก่อให้เกิดควัน (Smoke Point) คือ อุณหภูมิที่น้ำมันประกอบอาหารเริ่มกลายเป็นควัน และเริ่มเสื่อมสลายคุณค่าทางโภชนาการและกลิ่นรส น้ำมันแต่ละชนิดมีจุดที่ก่อให้เกิดควันในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ดังนั้นจุดที่ก่อให้เกิดควันจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาเมื่อเลือกซื้อน้ำมันประกอบอาหารสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การทอด ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีจุดที่ก่อให้เกิดควันสูง (High Smoke Point) ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษากลิ่นรสของอาหาร แต่ยังช่วยลดการเกิดควันน้ำมันในการปรุงอาหาร อันอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้
ตารางเปรียบเทียบจุดที่ก่อให้เกิดควันของน้ำมันประกอบอาหารชนิดต่างๆที่ใช้มากในประเทศไทย
น้ำมัน / ไขมัน | จุดที่ก่อให้เกิดควัน (องศาเซลเซียส) |
น้ำมันรำข้าว | 240 – 254 |
น้ำมันมะกอก | 166 – 242 |
น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน | 107 – 240 |
น้ำมันปาล์ม | 216 – 235 |
น้ำมันถั่วเหลือง | 160 – 234 |
น้ำมันข้าวโพด | 160 – 234 |
น้ำมันมะพร้าว | 149 – 232 |
น้ำมันหมู | 221 |
เนย | 177 – 208 |
น้ำมันพืช | 182 |
จากตารางเปรียบเทียบจุดที่ก่อให้เกิดควันของน้ำมัน จะเห็นว่าน้ำมันปาล์มมีจุดเกิดควันค่อนข้างสูง มีผู้นิยมใช้ทอดอาหาร แต่มักมีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ฆอ.5573/2558
เอกสารอ้างอิง
- Journal of Agricultural and Food Chemistry. 52 (16). 5207 – 5214 (2004)
- Food Science and Biotechnology. 20 (1). 159 – 165 (2011)
- Food Science and Biotechnology. 20 (1). 159 – 165 (2011)
- Jordan Journal of Agricultural Science, 6 (2) (2010)
- Food Science and Biotechnology. 20 (1). 159 – 165 (2011)
เรียบเรียงและจัดทำโดย Sirikul Shop
รีวิว
ยังไม่มีบทวิจารณ์