เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสมแอล-คาร์นิทีน และ วิตามินบีรวม กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ (4 กรัม x 10 ซอง)

120฿

อร่อย สดชื่น ไม่มีน้ำตาล ข่วยในการควบคุมนํ้าหนัก

เติมความสดชื่น พร้อมดูแลตัวเองง่ายๆ ได้ทุกวัน ด้วย เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสม แอล คาร์นิทีน (L-carnitine) และ วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ ช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกาย พร้อมทั้งดูแลสุขภาพได้ง่ายๆ เพียงชงกับน้ำร้อนก็พร้อมดื่มได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา หอม อร่อย สดชื่น กับเครื่องดื่มขิงร้อนๆ เพียงชงกับนํ้าร้อน 150 มล. พร้อมดื่มได้ทันที 1 ซอง ประโยชน์เต็มๆ

  • มีขิงผง 3.85 กรัม/ซอง
  • ผสม แอล คาร์นิทีน (L-carnitine) และ วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)
  • ไม่ใส่น้ำตาลทราย ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (ซูคราโลส และ อะซีซัลเฟม เค)
  • ให้พลังงานเพียง 15 กิโลแคลอรี่/ซอง

Availability: มีสินค้าอยู่ 20

เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสม แอล-คาร์นิทีน และ วิตามินบีรวม กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ (4 กรัม x 10 ซอง)
Giffarine S-Ginger : Instant Ginger Powder Drink Formula Without Added Sugar Mixed With L-carnitine And Vitamin B complex (4 grams x 10 sachets)

อร่อย สดชื่น ไม่มีน้ำตาล ข่วยในการควบคุมนํ้าหนัก

เติมความสดชื่น พร้อมดูแลตัวเองง่ายๆ ได้ทุกวัน ด้วย เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสม แอล คาร์นิทีน (L-carnitine) และ วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ ช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกาย พร้อมทั้งดูแลสุขภาพได้ง่ายๆ เพียงชงกับน้ำร้อนก็พร้อมดื่มได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา หอม อร่อย สดชื่น กับเครื่องดื่มขิงร้อนๆ เพียงชงกับนํ้าร้อน 150 มล. พร้อมดื่มได้ทันที 1 ซอง ประโยชน์เต็มๆ

  • มีขิงผง 3.85 กรัม/ซอง
  • ผสม แอล คาร์นิทีน (L-carnitine) และ วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)
  • ไม่ใส่น้ำตาลทราย ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (ซูคราโลส และ อะซีซัลเฟม เค)
  • ให้พลังงานเพียง 15 กิโลแคลอรี่/ซอง

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ขิง และ สารอาหารในการควบคุมนํ้าหนัก โดย กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ขิง และ สารอาหารในการควบคุมนํ้าหนัก

คุณสมบัติเด่นของขิง

ช่วยในการขับลม แกท้องอืด ท้องเฟ้อ  จุกเสียด แน่นท้อง เนื่องจากสารสําคัญที่อยูในน้ำมันหอมระเหยของขิง จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และลําไส้ อีกทั้งการดื่มนํ้าขิงยังมีส่วนช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเมารถได้ หรือ หากผสมนํ้ามะนาวและเกลือป่นเล็กน้อยลงในนํ้าขิง ใช้จิบแก้ไอ และขับเสมหะ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การดื่มนํ้าขิงร้อนๆ ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

เรื่องน่ารู้ ของ ขิง (Ginger)

“ขิง (Ginger)” เป็นพืชอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Zingiber officiales Roscoe

“ขิง (Ginger)” ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยา ทั้งในตํารับยาไทย จีน และแพทย์อายุรเวท โดย “เหง้า” ของ ขิงแก่ มีคุณสมบัติเป็นยาขับลม ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้ท้องผูก เหงือกอักเสบ แก้ไอขับเสมหะ บรรเทาข้ออักเสบ รักษาอาการปวดศีรษะ รวมทั้ง ช่วยกระตุ้นการอยากอาหาร

ประโยชน์ ของ สารสกัดจาก ขิง (Ginger Extract) ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

รายงานผลการศึกษาทางคลินิกของ “ขิง (Ginger)” มีหลายการศึกษาที่สนับสนุนการรักษา และป้องกันโรคต่างๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ในระยะยาวอย่างปลอดภัย ดังต่อไปนี้

ลดอาการปวดและอักเสบในผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และลดการปวดกล้ามเนื้อ

มีงานวิจัยที่ทําในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม 261 คน โดยให้รับประทานสารสกัด จาก “ขิง (Ginger)” เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจาก “ขิง (Ginger)” มีอาการปวดลดลงกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสําคัญ

อีกงานวิจัย การศึกษาในผู้ป่วยข้อเข่าอักเสบ (Gonarthritis) 29 ราย โดย ได้รับสารสกัดจาก “ขิง (Ginger)” (เทียบเท่ากับเหง้าขิง 250 มก.) วันละ 4 ครั้ง เป็นระยะ เวลา 6 เดือน

พบว่าสารสกัดจาก “ขิง (Ginger)” สามารถบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่ายาหลอก อย่างมีนัยสําคัญ

ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) จํานวน 28 คน และผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) จํานวน 18 คน พบว่า 3 ใน 45 14 ของผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมทั้ง 2 ชนิด มีอาการปวดข้อลดลง

และพบว่าในผู้ป่วย ที่มีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ (Muscular discomfort) จํานวน 10 คน ทั้งหมด มีอาการปวดลดลง

มีการทดลองแบบ Double-blind randomized placebo-controlled clinical trial ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการปวดระดับปานกลาง จํานวน 120 คน โดย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่รับประทานแคปซูลผง “ขิง (Ginger)” จํานวน 2 แคปซูล ต่อวัน (500 มก. แคปซูล หรือ 1 กรัมต่อวัน) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (ผงแป้งในขนาดเดียวกัน) เป็นระยะเวลา 3 เดือน

พบว่า ระดับตัวชี้วัดภาวะการ ยักเสบได้แก่ nitric oxide (NO) และ hs-C reactive protein (hs-CRP) ในเลือดของผู้ป่วยที่ได้รับแคปซูลผง “ขิง (Ginger)” ลดลงมากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสําคัญจึงอาจให้ผงซึ่งเสริมในผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมได้

ลดอาการปวดประจําเดือนได้ไม่แตกต่างจากยาต้านการอักเสบที่นิยมใช้กัน ทั่วไป และช่วยลดการสูญเสียเลือดประจําเดือนในผู้หญิงที่มีปัญหาประจําเดือนมามาก

มีงานวิจัยเปรียบเทียบผลการลดอาการปวดประจําเดือนของผงขิงกับยาต้าน การอักเสบที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ Mefenamic acid และ Ibuprofen พบว่ากลุ่ม ที่ได้รับผง “ขิง (Ginger)” 250 มก.ต่อแคปซูล 4 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลา 3 วันก่อนถึงรอบเดือน มีอาการปวดประจําเดือนลดลงไม่ต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาต้านการอักเสบ

และการศึกษาการลดการสูญเสียเลือดประจําเดือน ในวัยรุ่นผู้หญิงที่มีปัญหา ประจําเดือนมามาก อายุระหว่าง 15-18 ปี จํานวน 90 คน

พบว่ากลุ่มที่ได้รับ แคปซูลผง “ขิง (Ginger)” ขนาด 250 มก. วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 4 วัน (เริ่มจากวันก่อนที่ จะมีประจําเดือนจนถึงวันที่ 3 ของการมีประจําเดือน) มีการสูญเสียเลือดประจํา เดือนลดลง และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยที่ได้รับยา เคมีบ่าบัด และจากการเมารถเมาเรือ

มีการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ (อายุครรภ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์) จํานวน 120 คน พบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจาก “ขิง (Ginger)” ขนาด 125 มก. วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 4 วัน มีอาการคลื่นไส้น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ และในการศึกษาเดียวกันนี้ มีการติดตามเรื่องความปลอดภัยของทารกในครรภ์

พบว่า ความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ของมารดา รับประทานสารสกัดจากขิงเทียบกับกลุ่มประชากรทั่วไป ไม่มีความแตกต่างกัน

มีรายงานว่า การใช้ “ขิง (Ginger)” ในขนาดอย่างน้อย 1 กรัม มีประสิทธิภาพในการ ป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนหลังการผ่าตัดได้ดีกว่ายาหลอก

และพบว่าการให้ “ขิง (Ginger)” ร่วมกับยา Prochlorperazine. ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่ได้รับยาเคมีบําบัดจํานวน 20 รายสามารถลดความรุนแรง และระยะเวลาในการคลื่นไส้ได้ (อ้างอิงที่ 1) และขิงยังมีฤทธิ์แก้คลื่นไส้ อาเจียน จากการเมารถ เมาเรือได้ด้วย

ลดระดับไขมันในเลือด

มีการศึกษาแบบ Double blind controlled clinical trial พบว่า กลุ่มที่ได้รับ แคปซูล “ขิง (Ginger)” 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 45 วัน มีระดับค่าเฉลี่ยของไตรกลีเซอไรด์, โคเลสเตอรอล, แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ลดลงอย่างมีนัยสําคัญกว่ากลุ่มที่ ไม่ได้รับประทานขิง

ช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดไมเกรน

การศึกษาแบบ Double blind randomized clinical trial เปรียบเทียบ การใช้ “ขิง (Ginger)” กับยา Sumatriptan (ยารักษาอาการไมเกรน) ในผู้ป่วย จํานวน 100 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับ แคปซูล “ขิง (Ginger)” 250 มก. 1 แคปซูล และกลุ่มที่ได้รับยา Sumatriptan 50 มก. 1 แคปซูล ทันทีที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะ

พบว่า ความรุนแรง ของอาการปวดลดลงในทั้ง 2 กลุ่ม หลัง จากได้รับ ยา 2 ชั่วโมง โดยประสิทธิภาพ ในการลดอาการปวดของ “ขิง (Ginger)” และยา Sumatriptan ไม่มีความแตกต่างกัน แต่อาการ ไม่พึงประสงค์ของขิงจะน้อยกว่า

ช่วยเรื่องอาหารไม่ย่อย

มีงานวิจัยให้ยิ่งบรรจุแคปซูล ปริมาณ 1.2 กรัม กับคนไข้ที่มีอาการ อาหารไม่ย่อย พบว่า “ขิง (Ginger)” ช่วยกระตุ้นให้การย่อยอาหารดีขึ้นได้

โรค หรือ ภาวะที่จะแนะนำ ในการใช้ ขิง
  • ใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่ต้องการควบคุม นํ้าหนัก
  • ผู้ป่วยนอนกรน
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง
  • สตรีปวดประจําเดือน
  • สตรีหลังคลอด
  • ผู้ป่วยข้อเสื่อม เข่าเสื่อม ข้อกระดูกสันหลังเสื่อม
  • ผู้ป่วยโรคหัวใจ (ที่ไม่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือเกล็ดเลือด)
  • ผู้ป่วยไมเกรน
ข้อควรระวัง :
  • ระวังการใช้ร่วมกับสารกันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulants) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) เนื่องจากอาจทําให้เลือดแข็งตัวช้า และทําให้เลือดไหลหยุดยาก
  • ระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ําดี ยกเว้นภายใต้ การดูแลของแพทย์
  • ไม่แนะนําให้รับประทานในเด็กอายุต่ํากว่า 6 ปี 

ในปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มขิงผงสําเร็จรูป ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชนิดผงที่ช่วยให้การดําเนินชีวิตมีความสะดวกมากขึ้น เพราะเตรียมได้ง่าย เพียงเติมน้ําร้อนก็สามารถอร่อย กับรสชาติที่กลมกล่อม มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ ขิงได้ทันที ให้ความสดชื่น คลายความเครียดจากการทํางาน ดื่มได้ทุกโอกาสระหว่างวัน และยังสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มขิงผงสําเร็จรูป เพื่อสุขภาพ ที่ให้ผลทางด้านควบคุมน้ําหนัก โดยมีการเติมส่วน ผสมเพิ่มเข้าไป ดังนี้

สารอาหารเพื่อประโยชน์ ในการควบคุมนํ้าหนัก มีอะไรบ้าง?

ประโยชน์ของ แอล-คาร์นิทีน (L-carnitine)
  1. เพิ่มการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน สลายไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณต่างๆ เช่น หน้าท้อง รอบเอว สะโพก ต้นขา ต้นแขน
  2. ลดการสะสมของไขมันใหม่ ช่วยลดน้ำหนัก ให้หุ่นผอมเพรียว
  3. ลดน้ำหนัก ลดดัชนีมวลกาย (BMI)
  4. เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง รูปร่างจึงฟิตเฟิร์ม กระชับ
  5. ป้องกันการสลายของมวลกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถรักษารูปร่างที่ดีไว้ได้โดยไม่กลับมาอ้วนใหม่ได้ง่าย
  6. ช่วยลดความหิวและความอยากอาหารหวาน
  7. ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง

วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)

วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine)

“วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine)” มีความจำเป็นต่อ “ระบบเผาผลาญอาหารและระบบประสาทของร่างกาย”

ถ้าขาดจะเป็นโรคเหน็บชา อาการสำคัญจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยทางระบบประสาทจะมีอาการชาตามมือตามเท้า ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ส่วนอาการทางสมองพบว่า เนื้อสมองจะถูกทำลาย ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม สำหรับทางระบบหัวใจและหลอดเลือดพบว่าหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจมีขนาดโตขึ้น

วิตามินบี 2 (Vitamin B2) หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)

“วิตามินบี 2 (Vitamin B2) หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)” มีความจําเป็น ต่อการหายใจของเซลล์ เมตาบอลิซึม ของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เป็น Co-enzyme ในการเปลี่ยนวิตามินบี 6 และ กรดโฟลิคให้อยู่ในรูป Active ทั้งยังทําหน้าที่รักษาสภาพของเยื่อบุผิวและ Mucosa ให้เป็นปกติ

หากขาดจะมีอาการแสดงทางตา ริมฝีปากและผิวหนัง เริ่มแรกนั้นริมฝีปากจะ อักเสบ แห้งและแตก มุมปากจะขีดแตก เรียกลักษณะดังกล่าวว่าปากนกกระจอก (Angular stomatitis) และเมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการทางผิวหนัง ใบหน้ามีสะเก็ด มันๆ ต่อมาจะมีอาการอักเสบของตา ตาสู้แสงไม่ได้ คันตาและแสบลูกตา

วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin)

“วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin)” มีบทบาทในกระบวนการ Glycolysis, Kreb’s cycle และการสังเคราะห์กรดไขมัน

“หากขาดจะมีผลต่อระบบประสาท” โดยมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลายไขสันหลัง และสมอง เช่น ปลายประสาทอักเสบ ซึ่งอาจมีอาการคลุ้มคลั่ง และหมดสติก่อนตาย รวมถึงยังมีผลต่อระบบผิวหนัง ทําให้มีลักษณะผิวหนังหยาบ เป็นสีม่วงหรือเข้ม

นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่มีร่องแตก ที่บริเวณริมฝีปาก เยื่อบุลิ้นจะฝ่อ มีอาการอักเสบของลําไส้เล็กและมีเลือดออก ท้องเดิน

ประโยชน์ของ ไนอะซินาไมด์ Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีประโยชน์มากสำหรับผิว สามารถช่วยรักษาสิว รวมทั้งลดการอักเสบและรอยแดง ปรับปรุงการทำงานของเกราะป้องกันผิว และทำให้จุดด่างดำดูจางลง

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น การเปลี่ยนสีผิว และความแห้งกร้าน เมื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ มักจะรวมเป็นส่วนผสมใน เซรั่ม ครีม และโลชั่น

นอกจากนั้น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังดีต่อผิวของเราและสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างดี ต้านมลภาวะ เพิ่มความชุ่มชื่น นุ่มเนียน รูขุมขนดูกระชับ และอ่อนโยนต่อผิวกว่า สารสกัดประเภท AHA BHA

  1. ช่วยลดรอยแดง รอยดำ รอยสิวได้ดี และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
  2. ช่วยคุมความมัน Niacinamide เข้าไปปรับสมดุลในต่อมไขมัน และป้องกันไม่ให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป
  3. ช่วยกระชับขนาดรูขุมขน เมื่อน้ำมันบนผิวลดลง ไม่มีสิ่งอุดตันรูขุมขน จึงทำให้รูขุมขนเรียบเนียนขึ้น
  4. ช่วยเติมความชุ่มชื้น ให้ผิวไม่ขาดน้ำ โดยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ให้ผิวชุ่มชื้น เหมาะสำหรับฟื้นฟูผิวที่แห้ง
  5. ปกป้องผิวจากอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และกระตุ้นในการสร้างเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรง Skin Barrier ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวของเราเสมือนเป็นโล่ป้องกันที่เซลล์ผิว
  6. ลดริ้วรอย โดย Niacinamide จะเข้าไปสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ทำให้ผิวเด้งอิ่มฟูขึ้น
  7. ช่วยลดสิวอุดตัน รอยสิว เพราะว่า Niacinamide มีส่วนในการช่วยลดการอักเสบ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบ
วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโทที่นิค (Pantothenic acid)

“วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid)” มีความเกี่ยวข้องกับ “ปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายหลายอย่าง” เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต การสังเคราะห์กรดไขมัน ถ้าขาดอาจจะมีอาการปวดท้อง อาเจียน และเป็นตะคริว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ

แพนทีนอล (Panthenol) ซึ่ง บางครั้งเรียกว่า โปรวิตามินบี5 (Pro-vitamin B5) คือ กรดอิสระที่สามารถละลายในน้ำได้ อยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม สามารถพบได้ตามแหล่งอาหารทั่วไป และสามารถสกัดออกมาเป็นสารบริสุทธิ์ได้ สามารถดูดซึมเข้าเส้นผมและผิวหนังได้อีกด้วย

และจะถูกเปลี่ยนเป็น กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) ทันทีหลังจากที่ดูดซึมไปแล้ว อาจจะเรียกได้ว่า กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) คือ แพนทีนอล (Panthenol) ที่มีการเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามิน B5 หลังจากดูดซึมเข้าไปในร่างกายนั่นเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้ Pantothenic acid หรือ วิตามิน B5 ก็มีการรีวิวมากมาย เพราะว่านิยมในการสกัดออกมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่จะเข้ามาช่วยในการบำรุงผิวหน้าและผิวกาย

สำหรับ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) ก็มีคุณสมบัติหลายประการที่จะช่วยในการดูแลสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการนำไปช่วยในการสลายสารอาหารต่างๆ อย่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ไปเป็นพลังงาน เพื่อใช้งานในแต่ละวัน ช่วยในการสร้างวิตามินเอและวิตามินดีในร่างกาย ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินในเลือด ช่วยลดความเครียด และเสริมการทำงานร่วมกับวิตามินบีอื่นๆ เพื่อรักษาระดับปริมาณวิตามินในร่างกายให้สมดุล

นอกจากนี้แล้ว เมื่อนำ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) ไปใช้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอางได้ เพราะว่า วิตามินบี 5 (Vitamin B5) มีสรรพคุณในการ ช่วยลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้า เพื่อช่วยลดการเกิดสิว สร้าง Coenzyme-A ให้กับร่างกายเพื่อใช้ในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินของร่างกาย และลดการสร้างฮอร์โมนเอนโดรเจน ต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ ทำให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) กับผิว
  1. ช่วยให้ความชุ่มชื้น กักเก็บความชุ่มชื้น
  2. เป็นเกราะกำบังให้กับผิว (skin barrier)
  3. ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น
  4. ช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบ ลดรอยแดง ลดอาการแพ้คัน ช่วยสมานแผล
  5. ช่วยบรรเทาอาการคัน จากการแพ้
  6. ช่วยลดรอยแดง
  7. ช่วยสมานแผล และเร่งการสร้างเนื้อเยื่อชั้นผิวใหม่
  8. ช่วยบำรุงให้สุขภาพผมดี ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม และให้ผมแข็งแรงเงางาม
  9. ช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาผิว
  10. ดูดซับความชุ่มชื้นได้อย่างรวดเร็ว
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) หรือ ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)

“วิตามินบี 6 (Vitamin B6) หรือ ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)” มีความสำคัญต่อ “ปฏิกิริยาทั้งหมด ในกระบวนการที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาทางชีวเคมี” (Metabolism) ของกรดอะมิโน (สร้างและสลายโปรตีน)

มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดจะมีอาการอ่อนเพลีย ชาตามปลายมือ ปลายเท้า โลหิตจาง รวมถึงอาการทางประสาท เช่น สับสน ซึมเศร้า และชัก

หน้าฝนนี้ ดูแลสูงภาพได้ง่ายๆ

ด้วย เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัว

เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ด้วยเครื่องดื่มขิง

  • มีวิตามินบีรวม (B1, B2, B3, B5 และ B6)
  • ไม่ใส่น้ําตาล
  • พลังงานต่ํา 15 กิโลแคลอรี/ซอง

เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสมแอล-คาร์นิทีน และ วิตามินบีรวม กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์

  • คัดสรรจากขิงแก่ ที่มีคุณภาพ
  • รสชาติกลมกล่อม ดื่มง่าย

เครื่องดื่ม ขิงผง สำเร็จรูป กิฟฟารีน เครื่องดื่มขิงผงสำเร็จรูป

เสริมเกราะให้ร่างกาย ด้วย เอส – กระชาย พลัส จินเจอร์ สูตรไม่เติมนํ้าตาล

  • ผสม เบต้า-กลูแคน (Beta-Glucan)
  • วิตามินซี (Vitamin C) สูง
  • สังกะสี (Zinc) สูง
  • พลังงานต่ำ 15 กิโลแคลอรี/ซอง
  • ไม่ใส่น้ำตาล (ใช้ ซูคราโลส (Sucralose) และ แอซีซัลเฟม เค (Acesulfame K) เป็นสารให้ความหวาน แทนน้ำตาล)

เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป ผสม กระชายผง วิตามินซี ซิงก์ และ เบต้า-กลูแคน กิฟฟารีน เอส-กระชาย พลัส จินเจอร์ สูตรไม่เติมน้ำตาล

ดูแลตัวเองทุกวัน ด้วย ขิง สมุนไพรใกล้ตัว

เรียบเรียงและจัดทำโดย Sirikul Shop

รหัสสินค้า : 41811

เลขที่จดแจ้งผลิตภัณฑ์ : 13-1-03440-1-0167

ขนาด กxยxส : 6x7x6

น้ำหนัก/กิโลกรัม : 0.04

เครื่องดื่มขิงผงสำเร็จรูปผสมแอล-คาร์นิทีน และวิตามิน กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ (4 กรัม x 10 ซอง)

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 ซอง (4 กรัม):
ขิงผง 96.23 %
แอล-คาร์นิทีน 1.875 %
ไนอะซินาไมด์ 0.33 %
แคลเซียม ดี-แพนโททีเนต 0.106 %
ไพริดอกซีนไฮโดรคลอไรด์ 0.04 %
ไทอะมีนไฮโดรคลอไรด์ 0.031 %
ไรโบฟลาวิน 0.028 %
*ใช้ซูคราโลสและอะซิซัลเฟม เค เป็นวัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล
วิธีรับประทาน: ชงเครื่องดื่มขิงผง 1 ซอง ต่อน้ำร้อน 1 ถ้วย (150 มล.) คนให้เข้ากัน

รีวิว

ยังไม่มีบทวิจารณ์

มาเป็นคนแรกที่วิจารณ์ “เครื่องดื่ม ขิงผงสำเร็จรูป สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย ผสมแอล-คาร์นิทีน และ วิตามินบีรวม กิฟฟารีน เอส-จินเจอร์ (4 กรัม x 10 ซอง)”

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Shopping Cart
Scroll to Top