เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ สารอาหารสําหรับเด็ก และ เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก จาก กิฟฟารีน

สารอาหารต่างๆนั้นมีความจำเป็นต่อร่างกายเราทุกคนนะครับ เพราะคนเราทุกคน ต้องกินอาหาร และ อาหารเหล่านั้นก็มีสารอาหารแตกต่างกันไป วันนี้เราเลย ขอ นำเสนอ “สารอาหารสําหรับเด็ก” เพื่อเพิ่ม เกราะป้องกันให้กับลูกน้อยของคุณกันครับ

สารบัญ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ สารอาหารสําหรับเด็ก

“สารอาหาร หรือ อาหาร” ที่เด็กๅได้รับ จะมีผลต่อพัฒนาการและสติปัญญา ความ ฉลาดทางสติปัญญา หรือ ไอคิว (INTELLIGENCE QUOTIENT) เป็นการวัดความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ ความสามารถทาง วิชาการ วัดความจํา การอ่านเขียน คํานวณ แต่ไม่ได้วัดด้านอื่นๆ

เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะต่างๆ ด้านการทํางาน ทักษะ ชีวิตประจําวัน ฯลฯ วัดได้จากอายุสมองเทียบกับอายุจริง ปกติ ควรอยู่ที่ 90-110 (อ้างอิงที่ 1) “ไอคิวของเด็กนั้นขึ้นกับปัจจัยสําคัญ 3 ประการ” หรือเรียกกันย่อ ๆ ว่า “3 N” คือ

3 N คือ อะไร?
  1. Nature : ได้แก่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม กล่าวคือพ่อแม่ฉลาด ลูกก็จะมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องระดับสติปัญญา
  2. Nurture : ได้แก่ การเลี้ยงดู ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อม การกระตุ้นต่างๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาระดับสติปัญญา (อ้างอิงที่ 2)
  3. Nutrition : ได้แก่ โภชนาการ หรืออาหาร (หรือการทานอาหาร)

เมื่อมาพิจารณาในปัจจัยเรื่อง “Nutrition หรือ โภชนาการ” (การทานอาหาร) แล้ว หากเจาะลึกเข้าไปถึงสารอาหารที่เกี่ยวกับการพัฒนาและการทํางาน ของสมองแล้ว จะมีชื่อเรียกเฉพาะกันว่า Neuronutrients (นิวโร นิวเทรียนส์) ตัวอย่างของ Neuronutrients ได้แก่อาหารประเภท โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ จาก ธัญพืช และผักผลไม้

Neuronutrients ที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก มีอะไรบ้าง?
  1. โปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารที่จําเป็นต่อการเจริญเติบโต และ บํารุงรักษาเซลล์ทุกชนิดของร่างกาย ซึ่งหมายความรวมถึงเซลล์ ประสาทด้วย โปรตีนเกิดจากหน่วยเล็กที่เรียกว่า กรดอะมิโน มาเรียงต่อกัน เมื่อเรารับประทานโปรตีนเข้าไปร่างกายก็จะย่อยโปรตีนนั้นกลับมาเป็นกรดอะมิโน เพื่อให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมไปใช้ แหล่งของโปรตีนคือ เนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง
  2. ไขมัน เนื้อสมองประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นไขมัน ซึ่งไขมันนั้นก็เกิดจากกรดไขมันนั่นเอง หนึ่งในกรดไขมันที่มีหลายๆงานวิจัยสนับสนุนว่ามีส่วนสําคัญในการพัฒนาสมองในหลายๆ ด้าน คือ กรดดีเอชเอ (DHA,โดโคซาเฮกซาอีโนอิก Docosahexaenoic acid) แหล่งของดีเอชเอ คือ น้ํามันปลา DHA กําลังเป็นที่ให้ความ สนใจอย่างมากในด้านบําารุงสมอง (อ้างอิงที่ 3-7)
  3. คาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเป็นหน่วย ย่อยที่เรียกว่า กลูโคส ซึ่งกลูโคสนี่เอง ที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ สมองและเซลล์ประสาทต่างๆ พลังงานนี้เป็นสิ่งที่จําเป็นมากต่อการส่งสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectric) ไปยังระบบประสาท รวมถึงจําเป็นต่อการใช้ในการซ่อมแซมประสาทที่สึกหรอด้วย กลูโคสได้จากคาร์โบไฮเดรตประเภท แป้ง และน้ําตาล

นอกจาก Neuronutrients แล้ว สารอาหารอื่นๆ ที่จําเป็นต่อเด็ก ก็ยังมีอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามิน เกลือแร่ ต่างๆ ใยอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แหล่งของสารอาหารเหล่านี้มักจะอยู่ในผัก และผลไม้ ธัญพืช ซึ่งผู้ปกครองหลายๆ ท่านมักประสบปัญหา ที่ว่าเด็ก ๆ มักจะบ่ายเบี่ยงและไม่ค่อยรับประทานกัน ทั้งๆ ที่สาร อาหารเหล่านี้ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี

สารอาหารที่ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพดี มีอะไรบ้าง?
  • ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ หากไม่ได้ รับประทานอาหารที่มีกากใยแล้ว จะมีปัญหาเรื่องท้องผูกตามมา ซึ่งหากปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังก็จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
  • เบต้า-แคโรทีน พบมากในแครอท เบต้า-แคโรทีนนอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ในภาวะที่ขาด วิตามินเอ เบต้า-แคโรทีนยังสามารถที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย จึงป้องกันโรคได้หลายชนิดที่เกิดจากการขาด วิตามินเอ เช่น โรคตาฟางในเวลากลางคืน เติบโตช้า ผิวหนังแห้งกร้าน

ปัญหาดังกล่าวหากได้ทําการปรับเปลี่ยนเทคนิค เพื่อให้เด็กๆ ได้สารอาหารโดยที่เด็กๆ ไม่ปฏิเสธ โดยเปลี่ยนรูปอาหารให้เป็นที่ น่าสนใจและชื่นชอบของเด็ก ๆ เช่น เป็นน้ําผัก ผลไม้ หรือเป็นขนม เม็ดเคี้ยวที่มีคุณค่าอาหารดังกล่าวอยู่ภายใน

โดยเฉพาะขนมนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นของที่คู่กับเด็กเลยก็ว่าได้ หากมีอาหารที่มี คุณค่าที่อยู่ในรูปขนมที่อร่อย รับประทานง่ายแล้ว เด็กๆ จะชื่นชอบและจะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการ ทางสมอง จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในเด็กๆ

เช่น ผลิตภัณฑ์เม็ดเคี้ยว สำหรับเด็ก จาก กิฟฟารีน Chewable Tablets for Children By Giffarine

กลับสู่สารบัญ

แคลเซียมมีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

“ลูก คีอ แก้วตา ดวงใจ” ซึ่งพ่อแม่ทุกคนต่างปรารถนาที่จะเห็นลูกเติบโต อย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ มีร่างกายที่สูงสง่า และมีสุขภาพที่แข็งแรง “แคลเซียม คือ สารอาหารที่จำเป็นมาก” แต่ใครหลายๆคนกลับมองข้ามมันไป! ในเมื่อท่านมองข้ามไปเราเลยแวะขายของหน่อยนะครับ เรื่องน่ารู้ของแคลเซียม แร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ

แคลเซียม สารอาหารที่จําเป็นต่อเด็กวัยปีทอง

“แคลเซียม แหล่งที่สําคัญคือ นมสด” ซึ่งมีความจําเป็นอย่างยิ่งสําหรับการ เสริมสร้างความยาวของกระดูก ในเด็กหากขาดแคลเซียมจะเจริญเติบโตได้ไม่ เต็มที่ แต่ถ้าหากได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น ก็จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก

นม 1 แก้ว (200 ซีซี) มีปริมาณแคลเรียบ 236 มก.

  • เพื่มมวลกระดูก
  • ช่วยในการขยายตัว ของกระดูก
  • ช่วย เพิ่มความสูง
  • ช่วยให้ กระดูกและฟัน แข็งแรง

ปริมาณแคลเซียมที่เด็กๆ ในช่วง ช่วงปีทอง (Growth Spurt) ควรได้รับคือ 800-1,200 มก./วัน

พื้นฐานในการเจริญเติบโตของเด็ก มีอะไรบ้าง?

ดังนั้นหากคุณเป็นพ่อและแม่ที่มีความรักความห่วงใยต่อลูก ควรต้องทราบ พื้นฐานในการเจริญเติบโตของลูก คีอ

ระยะที่ 1 (2-8 ปี) วัยเด็กเล็ก

ในช่วงนี้ เด็ก มักจะมีอาการเบื่ออาหาร และมักจะรับประทานอาหารที่ไม่มี คุณค่าต่อร่างกาย เช่น นม

ระยะที่ 2 (8-16 ปี) Growth Spurt หรือ ช่วงปีทอง ของเด็ก

ช่วงปีทอง (Growth Spurt) ของเด็ก คืออะไร ทําไมจึงสําคัญ?

คือ ช่วงที่ร่างกายจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความสูง และเป็นช่วงเวลาทอง ที่เด็กๆควรได้รับสารอาหารที่จําเป็น อย่างเต็มที่

  • ช่วงเวลาทองของ เด็กผู้หญิง จะเริ่มเมื่ออายุ 9-10 ปี ความสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงอายุ 12 ปี (ก่อนมีประจําเดือน) 13 ปี เป็นระยะที่เริ่มมีเต้านม มีขนบริเวณหัวหน่าว แต่ยัง ไม่มีประจําเดือน วัยปีทองจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อมีการตกไข่ และมีประจําเดือน ครั้งแรก แต่เด็กอาจจะสูงได้อีก 5-7 ซม. ถ้ามีปัจจัยหลายอย่างพร้อม เมื่ออายุ 16-18 ปี ความสูงจะคงที่
  • ช่วงเวลาทองของ เด็กผู้ชาย จะเริ่มเมื่ออายุ 10-12 ปี ความสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงอายุ 14 ปี พอถึงอายุ 16 ปี เป็นระยะที่เต้านมเริ่มแตกพาน และมีขนบริเวณหัวหน่าวแต่ยังไม่เข้าสู่วัยหนุ่มอย่างสมบูรณ์ เมื่ออายุ 18-20 ปี ความสูงจะคงที่
ปีทอง : โอกาสทองแห่งการพัฒนาสมองและร่างกาย

เด็กช่วงวัยปีทอง หรือ Growth spurt นี้ หากได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ โดยปกติจะมีส่วนสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6-11 ซม./ปีเลยทีเดียว ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีการตื่นตัวทางด้านโภชนาการเพื่อการพัฒนาเด็กในช่วงปีทองกันอย่างแพร่หลาย จึงมีผลทําให้ความสูงเฉลี่ยของประชากร เพิ่มขึ้นมาก

ตารางเปรียบเทียบ ความสูง ของประชากรไทย
เพศความสูงเฉลี่ยในปัจจุบันของประชากรไทยความสูงเฉลี่ย ที่ประชากรไทยต้องการ
หญิง154.4 ชม.157.7 ชม.
ชาย165.4 ชม.169.6 ชม.
ตารางเปรียบเทียบ ความสูง ของประชากรไทย
ปัจจัยที่สาคัญต่อการพัฒนาสมอง และส่วนสูงในช่วงปีทอง ของเด็ก คืออะไร?
  1. ฮอร์โมน ที่ช่วยด้านการพัฒนาการเจริญเติบโตต้องปกติ ไม่มีโรคภัยเรื้อรังที่มีผลต่อการพัฒนาโครงสร้างของเด็ก
  2. พันธุกรรม ความสูงของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เป็นปัจจัยสําคัญที่กําหนดความสูง รองบุตรหลานในอนาคต
  3. โภชนาการ (หรือ การทานอาหาร) เด็กในวัยปีทองต้องได้รับการพัฒนาการด้านโภชนาการอย่างเต็มที่ โดยควรได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  4. การออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ
ปริมาณความต้องการแคลเซียมในแต่ละวัย
วัยปริมาณแคลเซียม ที่ต้องการ/วันเทียบเท่ากับนมสด/วัน
เด็กก่อนวัยปีทอง800 มก.3-5 แก้ว
เด็กวัยปีทอง1,200 มก.5-6 แก้ว
ผู้ใหญ่800 มก.3-5 แก้ว
สตรีวัยหมด ประจําเตียน1,200 มก.5-6 แก้ว
ปริมาณความต้องการแคลเซียมในแต่ละวัย
ปัญหาทางโภชนาการที่มีต่อความสูงของคนไทย
  1. เด็กไทยไม่ชอบรับประทานนม
  2. เด็กไทยบางคนรับประทานนม แต่ไม่เพียงพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการ
  3. สตรีวัยหมดประจําเดือนไม่ชอบรับประทานนม

ดังนั้น “ถ้ารัก ตัวเอง ให้ดื่ม นม”

โภชนาการที่ดีมีประโยชน์อย่างไร? กับเด็ก

“เด็กที่มีภาวะโภชนาการที่ดี” จะมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่า ทํางานมี ประสิทธิภาพมากกว่า “ร่างกายจะสูงใหญ่ แลดูสง่างาม มีบุคลิกภาพที่ดี” ตรงกันข้ามหากเด็กขาดโภชนาการที่ดี การเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง จะต่ํากว่ามาตรฐาน

  1. เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันความผิดปกติของกระดูกและฟัน เช่น กระดูกหักง่าย หลักโก่งงอ กระดูกเรียงผิดรูป หรือฟันหักง่าย
  2. ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยสร้างเนื้อกระดูกให้มีความหนาแน่นมากขึ้น
  3. ลดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ
  4. ช่วยให้การเจริญเติบโตในด้าน ความสูงและความแข็งแรง ของเด็กในวัยเจริญเติบโต
อาหารเสริมสำหรับเด็กวัยปีทอง

“เพื่อต้อนรับ วัยปีทอง” ของลูก สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทํา เพื่อแทนความรักความห่วงใยจาก ดวงใจของพ่อและแม่ ให้ลูกปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. ดื่มนมวันละ 5-6 แก้ว
  2. ออกกําลังกายทุกวัน โดยเฉพาะ “ว่ายน้ํา” เพื่อให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้พัฒนาอย่างเต็มที่
  3. รับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ ผักสด
สรรพคุณ ของ กิฟฟารีน แคลซีน คืออะไร?
  • กิฟฟารีน แคลซีน: ครบถ้วนด้วยคุณค่าของแคลเซียม
  • กิฟฟารีน แคลซีน: 1 เม็ดมีปริมาณของแคลเซียม 50 มก.
  • กิฟฟารีน แคลซีน: ปริมาณแคลเซียมในแคลซีน 6 เม็ด เท่ากับนม 1 แก้วใหญ่ (250 ซีซี)
  • กิฟฟารีน แคลซีน: เพื่อสุขภาพจองคนทุกวัย
วิธีการรับประทาน กิฟฟารีน แคลซีน
วัยจํานวน/วันคุณประโยชน์
เด็กก่อนวัยปีทองไม่เกิน 10 เม็ดสร้างพื้นฐานที่ดีต่อพัฒนาการก่อนถึงวัยปีทอง
เด็กวัยปีทองไม่เกิน 20 เม็ดร่างกายสูงสง่า และแข็งแรง สมบูรณ์ พัฒนาการดีเยี่ยม
ผู้ใหญ่ไม่เกิน 10 เม็ดเพื่อรักษาความแข็งแรง ของกระดูกและโครงสร้าง
สตรีวัยหมดประจำเดือนไม่เกิน 20 เม็ดเนื่องจากวัยนี้ฮอร์โมนจะลดลง กระดูกจะบางหักง่าย จีงต้องการปริมาณแคลเซียมเพิ่มมากขึ้น แคลเซียมมีส่วนช่วยป้องกันโรคกระดูกผุได้
หมายเหตุ : อย่างไรก็ดี ปริมาณดังกล่าวอาจปรับลดขนาด ถ้าได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารอื่น

รับประทานแคลนปริมาณตามคําแนะนํา จะมีผลกระทบน้อยมากต่อการควบคุมน้ําหนัก และแคลซีนไม่ใช่ผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้ควบคุมน้ําหนัก

กลับสู่สารบัญ

โคลีน มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

“โคลีน” ทางเราได้นำเสนอข้อมูล เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ โคลีน และ วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ ไปแล้วท่านไดสนใจก็เข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้นะครับ

โคลีน คืออะไร?

อธิบาย เอาแบบง่ายๆเลยคือ “โคลีน” จัดอยู่ในกลุ่ม “สารอาหาร” กลุ่มเดียวกับ “วิตามิน” (วิตามินบีรวม) นั่นเองครับ

“โคลีน” เป็นสารอาหารสําคัญตัวหนึ่ง ที่มีความจําเป็นต่อร่างกาย มีความสําคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนัง เซลล์ (Structural integrity of cell membranes) เมตาบอลิซึม ของเมธิล (Methyl metabolism) การส่งผ่านของกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ (Transmembrane signaling) และเมตาบอลิซึมกับการขนส่ง ของไขมันและโคเลสเตอรอล (อ้างอิงที่ 8)

“โคลีน” เป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์ “สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine)” ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสําคัญที่เกี่ยวข้องกับความจํา การควบคุม กล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆ อีกหลายอย่าง (อ้างอิงที่ 8)

ดังนั้น “โคลีน” จึงมีผลต่อกระบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจํา และการรับรู้ เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ โดยเฉพาะ “ระบบความจํา” (อ้างอิงที่ 9) รวมถึงมีการศึกษาในการใช้ เพื่อป้องกันและรักษา “โรคความจําเสื่อม (Alzheimer’s disease)” ด้วยครับ (อ้างอิงที่ 10)

บทบาทสําคัญอีกประการหนึ่งของ “โคลีน” คือ ทําให้ “ตับ” สามารถ ท่าการขนถ่ายไขมันได้ (Fat transportation) และลดการสะสม ไขมันในตับ (Hepatic steastosis) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ (อ้างอิงที่ 11)

การศึกษา วิจัยในคนก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาด โคลีนก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับเช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และ เมื่อได้รับโคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของ ตับได้จริง (อ้างอิงที่ 12)

สําหรับสัตว์ทดลองเช่นหนู สภาวะที่ตับมี ไขมันสะสมนี้ยังร่วมไปกับเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งที่ตับได้ (อ้างอิงที่ 13) ในทางกลับกันเมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับโคลีนเสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน (อ้างอิงที่ 14)

นอกจากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว “โคลีน” ยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจด้วย (อ้างอิงที 8)

ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สําหรับผู้ใหญ่เพศชายและหญิง คือ 550 มก. และ 425 มก. ตามลําดับ ส่วนในเด็กช่วงอายุ 1-18 ปี จะเป็นดังนี้

  • อายุ 1-3 ปี (ชาย/หญิง) 200 มก.
  • อายุ 4-8 ปี (ชาย/หญิง) 250 มก.
  • อายุ 9-13 ปี (ชาย/หญิง) 375 มก.
  • อายุ 14-18 ปี (ชาย) 550 มก.
  • อายุ 14-18 ปี (หญิง) 400 มก.

(อ้างอิงที่ 8)

และมีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทําให้ปริมาณโคลีนลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้ (อ้างยิงที 15,16)

ประโยชน์ของ โคลีน (Choline)
  1. เป็นสารอาหารที่จําเป็น และช่วยในการทํางานของระบบ ประสาท เช่น ความจ๋า และการทํางานของกล้ามเนื้อ
  2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอลช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ
  3. ช่วยในการทํางานของตับให้เป็นปกติการขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทําให้มีไขมันสะสมในตับ และนําไปสู่การเป็นมะเร็งตับ

กลับสู่สารบัญ

ผัก และ ผลไม้ มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

“ปัญหาด้านโภชนาการ” หรือ การทานอาหารของเด็กไทยในวันนี้ นอกจากจะ “ไม่ชอบ ดื่มนม” แถมยังรับประทานอาหารหรือ”ขนม” ที่มีการปรุงแต่งรสชาติ สีสัน มาก ด้วยน้ําตาลและไขมัน แต่กลับมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยแล้ว “ยังไม่ชอบรับประทาน พืช ผัก และ ผลไม้” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

จนกลายเป็นเรื่องที่จะต้องมีการรณรงค์ เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภค เสียใหม่ ให้เด็กไทยหันมาสนใจบริโภคผักกันมากขึ้นจากการสําารวจภาวะอาหารและโภชนาการของประชาชนใน กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2546 2547 พบว่า เด็กวัยเรียนมีการ บริโภคผักทุกวัน เพียงร้อยละ 41.1 ในปริมาณวันละ 14.3 กรัม ต่อคน หรือประมาณ 1.5 ช้อนกินข้าว

ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่า ธงทางโภชนาการ (หรือ หลักทางโภชนาการ) ซึ่งแนะนําให้เด็กวัยเรียนอายุ 6-13 ปี ควรบริโภค ผักมื้อละ 4 ช้อนกินข้าว นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กวัยเรียนมีการ บริโภคอาหารประเภทแป้ง น้ําตาล และไขมันเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ ควรมีการบริโภคผักผลไม้ให้ได้วันละ 500 กรัม เพื่อลดอัตรา เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง เป็นต้น (อ้างอิงที่ 17)

มีงานวิจัยที่แสดงว่า “ชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง268 กรัม/คน/วัน” และ “หญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 286 กรัม/คน/วัน” ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจาก “มาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กําาหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน” พอ สมควรทีเดียว

“ผลของการไม่กินผักทําให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา” อย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจ มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ คุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งต้องหันมากินผักและผลไม้ ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหาร อย่างเพียงพอ

“และไม่ควรกินผักผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ ได้หลากหลายสี” ทั้ง แดง เหลือง ส้ม เขียว ขาว เพราะแต่ละ ชนิดให้คุณค่าของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีสารเม็ดสีใน ผักผลไม้เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นประโยชน์แตกต่างกันไป ดังนี้

ผัก และ ผลไม้ สีต่างๆ ที่มีประโยชน์ มีอะไรบ้าง?
ผัก และ ผลไม้สีแดง

“ผัก และ ผลไม้สีแดง” ที่เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ “มะเขือเทศ ทับทิม เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่” หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดง ก็ตาม ในผักผลไม้สีแดงนี้จะมี “สารไลโคปีน (Lycopene)” กรด เอลลาจิก (Ellagic acid) แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) และ กรดแกลลิก (Galic acid) ที่ช่วยทําให้ระบบการทํางานของ ต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกัน การเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย

ในส่วนนี้เราก็ขายของอีกเช่นเคย เรื่องน่ารู้ ของ ทับทิม มะเขือเทศ และ ไลโคปีน ท่านใดสนใจก็เข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ

ผัก และ ผลไม้ สีเหลือง และสีส้ม

“ผัก ผลไม้ สีเหลือง และสีส้ม” จะช่วยในเรื่องของ “ผิว” เพราะ มีเบต้าแคโรทีน (Bata-carotene) อยู่จํานวนมาก เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผักผลไม้ประเภทนี้มากๆ ผิวจะ กลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ ตรงบริเวณผิวหนังซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

ผักผลไม้สีเหลืองมีส่วนช่วยในการลดระดับ “โคเลสเตอรอล” ช่วย ทําให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลืองๆ ที่ช่วย ป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย

ผัก และ ผลไม้สีเขียว

“ผัก และ ผลไม้ สีเขียว” แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดา ผักผลไม้ต่างๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ําปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดย ในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท (Isothiocya nate) สารลูทีน (Lutein) สารซีแซนทีน (Zeaxanthin) สาร คาเทชิน (Catechins) “สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยท่า ให้เซลล์สามารถทํางานได้ดีขึ้น” ทั้งยังสนับสนุนการทํางานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย

ผัก และ ผลไม้สีขาว

“ผัก และ ผลไม้ สีขาว” ได้แก่กระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ําดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามป้อม มีสารอาหารที่ช่วยเสริม ให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) สารเควอซิทิน (Quercetin) ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และ ทําให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัด มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวย

(อ้างอิงที่ 18)

ในการกิน “ผัก และ ผลไม้” นั้น นอกจากจะได้รับสารอาหารที่เป็น ประโยชน์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยใน เรื่องของระบบขับถ่าย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการ ฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น มาใส่ใจใน การกินผักผลไม้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้านะครับ

กลับสู่สารบัญ

โอลิโกฟรุคโตส มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

โอลิโกฟรุคโตส คืออะไร?

“โอลิโกฟรุคโตส (Oligo- fructose) คือ พรีไบโอติก (Pre- biotic)” อธิบายง่ายๆ คือ “พรีไบโอติก คือ สารอาหาร” และ “โอลิโกฟรุคโตส คือ สารอาหารที่สำคัญที่สุด” ของ พรีไบโอติก

“ระบบทางเดินอาหารของร่างกาย” จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1.ในช่องปาก 2.หลอดอาหาร 3.กระเพาะอาหาร 4.ลําไส้เล็ก และ 5.ลําไส้ใหญ่ อาหารมักจะเริ่มถูกย่อย และมีการดูดซึมสารอาหารที่สําคัญ มากที่สุดที่ “กระเพาะอาหารและลําไส้เล็ก”

ส่วน “ลําไส้ใหญ่” เป็นที่ ทําลายกากอาหารที่ไม่ดูดซึมแล้ว ในลําไส้ใหญ่จะมีจุลินทรีย์อยู่และเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก คอยท่าหน้าที่ย่อยสลายกากอาหาร เป็นอุจจาระ

“จุลินทรีย์” เหล่านี้มีด้วยกันนับล้านตัว โดยมีทั้ง “จุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพ” จะขอเรียกว่า “จุลินทรีย์สุขภาพใน ลําไส้ใหญ่” ซึ่งมี ชื่อทางการแพทย์ว่า “โพรไบโอติกส์ (Probiotics)” มีส่วนในการส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพในลําไส้ใหญ่ปริมาณ มากขึ้น

จะทําได้ด้วยการให้อาหารที่เรียกว่า พรีไบโอติก (Pre- biotic) “อาหารพรีไบโอติกที่สําคัญคือ โอลิโกฟรุคโตส (Oligo- fructose)”

“จุลินทรีย์สุขภาพ หรือ โพรไบโอติกส์นี้ มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์” เช่น แลคโตแบซิไล (Lactobacilli) บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) สเตรฟโตคอคไค (Streptococc) และจุลินทรีย์ชนิด ที่ก่อโรค เช่น คลอสติเดียม แบคทีรอยดีส์ และโคลิฟอร์ม (Clostridium, Bacteroides, Coliforms)

ตราบใดที่จํานวน“จุลินทรีย์ทั้งสองฝ่าย มีจํานวนสมดุลกัน” คือ “จุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพ” มีจํานวน มาก และแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลําไส้ และต้านทานจุลินทรีย์ ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันที ทําให้ท้องเสีย เป็นต้น

แต่ในทางตรงกันข้าม การส่งเสริมให้มี “จุลินทรีย์สุขภาพในลําไส้ใหญ่” มี ปริมาณมากขึ้น ไม่เพียงแต่ลดอาการท้องเสีย ยังพบว่ามีผล ส่งเสริมต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น พบว่าทําให้เกิดการ สร้างเซลล์ภูมิต้านทานต่อมะเร็ง (Natural Killer Cell) และเพิ่มการสร้างสารภูมิต้านทานต่อมะเร็ง (IL 10, IgA)

ช่วยส่งเสริมสมดุลของเม็ดเลือดขาวที่ทําลายสารพิษ (Endo-Toxin) และเพิ่ม เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีผลต่อภูมิต้านทาน ( Helper Cell) ที่อาจจะทําให้ลดโรคในลําไส้อีกหลายอย่าง

เช่น โรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ (Colorectal Carcinoma) และโรคลําไส้อักเสบ เรื้อรัง (Crohn’s Disease) เป็นต้น (อ้างอิงที่ 19-24)

ดังที่ได้กล่าวมา แล้วว่า การส่งเสริมให้มี “จุลินทรีย์สุขภาพในลําไส้ใหญ่” มีปริมาณ มากขึ้น จะทําได้ด้วยการให้อาหารที่เรียกว่า “พรีไบโอติก (Prebiotic)” ซึ่งมีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อ โพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง โดยไม่ส่งเสริมเชื้อก่อโรค แต่อย่างใด (อ้างอิงที่ 24) และอาหารพรีไบโอติกที่สําคัญคือ โอลิโกฟรุคโตส (Oligo- fructose)

สรรพคุณ ของ โอลิโกฟรุคโตส

“โอลิโกฟรุคโตส” เป็นใยอาหารจากธรรมชาติที่ “ไม่ถูกย่อยสลายและดูดซึมในลําไส้เล็ก” แต่ “จะผ่านไปที่ลําไส้ใหญ่” และช่วย “เสริมให้มีการเพิ่มจํานวนของจุลินทรีย์สุขภาพโพรไบโอติกส์” ทำให้เกิด “ภาวะสมดุลในระบบทางเดินอาหาร” ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ไม่สะสมสารพิษไว้ตามผนังลําไส้ จึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ที่ดีขึ้น

ปัจจุบันไม่เพียงแต่พบว่า โอลิโกฟรุคโตสสามารถเพิ่มปริมาณ เชื้อโพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง ยังมีงานวิจัยที่ชัดเจน ว่าโอลิโกฟรุคโตสสามารถลดการเกิดท้องเสียซ่าในผู้ป่วยที่ ท้องเสียมาแล้วจากการติดเชื้อโรคก่อโรคคลอสติเดียมอีกด้วย (อ้างอิงที่ 25)

ไม่เพียงแต่คุณประโยชน์ทางด้านภูมิคุ้มกันต่อโรคลําไส้หลายชนิดแล้ว ก็ยังมีงานวิจัยที่พบว่า โอลิโกฟรุคโตสช่วยเพิ่มการดูด ซึมแร่ธาตุแคลเซียม ทําให้เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก (Body mineral density) ได้ (อ้างอิงที่ 26)

ประโยชน์ ของ โอลิโกฟรุคโตส

โดยสรุป โอลิโกฟรุคโตส มีคุณสมบัติเป็น Prebiotic และมี คุณประโยชน์ดังนี้คือ

  1. ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  2. ช่วยควบคุม/กําจัดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรคในร่างกาย
  3. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีกลไกช่วยป้องกันมะเร็งในลําไส้ใหญ่
  4. ช่วยลดสารพิษหลายชนิดที่อาจสะสมตามผนังลําไส้
  5. ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
  6. ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหารเช่น ท้องเสีย
  7. ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย

กลับสู่สารบัญ

เบต้า-กลูแคน มีความสำคัญ กับภูมิคุ้มกันเด็ก อย่างไร?

โดยปกติแล้วรอบๆ ตัวเรามี “เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม” มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ล่องลอยอยู่ใน อากาศ หรือชนิดที่เกาะอยู่กับตัวมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของ หรืออยู่ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้จะจู่โจมร่างกายของพวกเรา ตลอดเวลา แต่เหตุที่เราไม่เจ็บป่วยก็เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงคอยช่วยต่อสู้กับเจ้าเชื้อโรคเหล่านี้

ระบบภูมิคุ้มกัน คืออะไร?

“ระบบภูมิคุ้มกัน” ที่ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เบื้องต้น ได้แก่ “ผิวหนัง” และ “เยื่อบุร่างกายต่างๆ” จะทําหน้าที่ ป้องกันการผ่านของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และทําหน้าที่ดักจับสิ่ง แปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกาย

แต่หากมีเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่สามารถผ่านเข้ามาในร่างกาย หรือที่เรียกว่า “แอนติเจน (Antigen)” ร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกันทํางานร่วมกันหลายแบบ โดยเซลล์ ที่ทําหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สร้างมาจากสเตมเซลล์ (Stemcells) ที่อยู่ในไขกระดูก เช่น

  • เซลล์ที่ทําหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอม ตัวอย่างเช่น แมคโครฟาจ (Macrophage), นิวโตรฟิลล์ (Neutrophil)
  • เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า ลิมโฟไซท์ (Lymphocyte) แบ่งเป็น B-cells ทําหน้าที่ผลิตสารต่อต้านและทําลายโดยตรง ที่เรียกว่า แอนติบอดี้ (Antibody) และ T-cells ทําหน้าที่ฆ่า หรือทําลาย เพื่อกําจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค
  • เซลล์ที่สร้างสารสําคัญที่ช่วยในการทําลายเชื้อโรค เช่น อีโอสิโนฟิลล์ (Eosinophil) (อ้างอิงที่ 27)

สําหรับ “เด็กในวัยเจริญเติบโต” แล้วนั้น อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆ เช่น เป็นหวัด คัดจมูก น้ํามูกไหล เจ็บคอ ไอ จาม สารอาหาร ที่ช่วยในเรื่องการเสริม และปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกายคือ “เบต้า-กลูแคน” ซึ่งปัจจุบันมีการนํามาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย มีการนําเบต้า-กลูแคน มาใช้เป็นส่วนผสมในนมผงสาหรับเด็กหลายชนิด

เบต้า-กลูแคน คืออะไร?

“เบต้า-กลูแคน (Beta-glucan)” เบต้า-กลูแคน เป็น “สารประกอบประเภทน้ําตาลหลายโมเลกุล” หรือที่เรียกกันว่า “โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide)” ชนิดหนึ่งพบได้ในผนังเซลล์ของยีสต์ เห็ดรา ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ มีประโยชน์ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ของเรา

การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของ เบต้า-กลูแคน มีอะไรบ้าง?
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทําลายและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ ร่างกายของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ
  • ควบคุมการหลั่งสารสําคัญบางชนิด เช่น อินเตอร์ลิวดิน (Interleukins) เพื่อการกระตุ้นการสื่อสารระหว่างเซลล์ต่างๆ และนําาไปสู่การทําลายสิ่งแปลกปลอม
  • กระตุ้นการหลั่งสารสําคัญ Colony Stimulating factors เพื่อ ปริมาณการสร้างและการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวบางชนิด เช่น Neutrophils และ Eosinophils จากไขกระดูก ซึ่งกระบวนการ เหล่านี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดMacrophage ในการกําจัดสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาสู่ร่างกาย (อ้างอิงที่ 28)

มีงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่า “เบต้า-กลูแคน” มีคุณสมบัติในเรื่อง “การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัวอยู่เสมอ” ทําให้ร่างกายสามารถ ต้านเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการกระตุ้นการ ทํางานของ “เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage” (อ้างอิงที่ 29, 30)

และนอกจากนี้แล้วยังมีคุณสมบัติด้านอื่นในการ “ช่วยต้านสารก่อมะเร็ง” ยังช่วย “ลดระดับโคเลสเตอรอล” ได้อีกด้วย (อ้างอิงที่ 31, 32) อย่างไรก็ตามมี คําแนะนําว่า “ห้ามรับประทานร่วมกับยาแก้อักเสบ (ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ) ชนิดอินโดเมทาซิน (Indomethacin)” (อ้างอิงที่ 33)

นอกจาก “เบต้า-กลูแคน” แล้ว สารอาหารที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ คือ “วิตามินซี” โดยมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า ใน ช่วงที่ร่างกายติดเชื้อ หรือมีความเครียดนั้น จะมีระดับความเข้มข้น ของวิตามินซีในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว และการเสริมวิตามินซีสามารถช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ (อ้างอิงที่ 34)

เป็นยังไงันบ้างครับ กับ ความสำคัญของ “เบต้า-กลูแคน” ว่ามีอะไรกันไปแล้วแต่เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กยังไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ยังครับ! ยัง! ยังมีอีกครับ!

  1. ช่วยบรรเทาโรคมะเร็งร้าย เบต้ากลูแคนจะช่วยให้เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันด่านแรกของเราทำลายเชื้อโรค และเซลล์แปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเพิ่มจำนวน และกระตุ้นการทำงานของเลือด ให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น
  2. เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถชะลอไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้น้ำตาลค่อย ๆ ไหลเข้าสู่กระแสเลือดแบบที่ควรจะเป็น ลดระดับความต้องการอินซูลินของร่างกายลงได้ อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลินตามธรรมชาติ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
  3. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดง เบต้ากลูแคนจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดของคุณลดลงได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดความเสี่ยงของโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวก ป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอย่างได้ผล
  4. ชะลอวัย ผิวหนังเต่งตึง เพิ่มความยาวนานให้วัยหนุ่มสาว เบต้ากลูแคนมีประโยชน์ในการกระตุ้นเซลล์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างเส้นใยที่ทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญที่จำเป็นต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน อีลาสติน รวมทั้งกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ผิวดูมีน้ำมีนวล ชุ่มชื้น และที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคนจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังของเราแข็งแรง คงรูป ไม่อ่อนเหลว กลับเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
  5. ช่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติเข้าไปช่วยเพิ่มจำนวนและกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่คอยจำแนกสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่เคยทำงานผิดปกติ สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ตัวเอง เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารที่ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งเบต้ากลูแคนจะเข้าไปลดสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้ อีกทั้งยังควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากเกินไป
  7. ช่วยสมานแผล เบต้ากลูแคนยังมีอีกหนึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่น โดยสามารถรักษาแผลผิวหนังอักเสบได้ โดยเบต้ากลูแคนจะเข้าไปเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาวให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นตัวหลักในการรักษาแผลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น แผลจากศัลยกรรม ผ่าตัด เบาหวาน และรักษาอาการผิวแห้ง ซึ่งเบต้ากลูแคนช่วยให้แผลหายไว รอยแผลเป็นจางลง ลดการติดเชื้อ และลดอัตราการตายของเซลล์
  8. ลดการติดเชื้อ เบต้ากลูแคน ช่วยลดปัญหาการติดเชื้อต่าง ๆ ทั้งการติดเชื้อจากการผ่าตัด และการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อแบคทีเรีย โดยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์ อีกทั้งยังมีการใช้เบต้ากลูแคนในการลดการติดเชื้อในกระแสเลือด ด้วยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
  9. รักษาและบรรเทาระบบทางเดินอาหาร เบต้ากลูแคนช่วยบรรเทาอาการท้องผูก หรือโรคที่เกิดจากภาวะทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายกลับไปสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มท้องง่าย อีกทั้งเบต้ากลูแคนยังเป็นอาหารของพรีไบโอติกในลำไส้ ที่จะช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารอีกมากมาย

กลับสู่สารบัญ

ลูทีน และ วิตามิน เอ มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

แล้วก็มาถึงเรื่องของ ลูทีน กันแล้วนะครับ ในส่วนนี้ใครอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับลูทีน ซีแซนทีน วิตามิน เอ และ สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา

ลูทีน คืออะไร?

เอาแบบง่ายๆเลย “ลูทีน” เป็น “สารอาหาร” ซึ่งเป็น “สารธรรมชาติที่มีในนมมารดา และในพืช ผักผลไม้หลายชนิด” ทำหน้าที่ “ปกป้องดูแลดวงตา”

สรรพคุณ ของ ลูทีน คืออะไร?
  1. กรองแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  2. จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค จุดรับภาพเสื่อม
  3. อีกทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก

ในโลกปัจจุบันนี้ “เรา” จะต้องเจอกับ “สภาวะแสงแดดที่จ้าขึ้น” “อากาศร้อนขี้น” ลอง นึกย้อนไปสมัยผมยังเด็ก จนโตเป็น วัยรุ่น อากาศในกรุงเทพ ก็ไม่ได้ร้อนเหมือนปัจจุบัน รวมถึง “แสงจากคอมพิวเตอร์ ทีวี เกมส์โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต”ซึ่งมี “แสงสีฟ้า” ซึ่งเป้นอัตรายต่อดวงตาของเราทุกคน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในชีวิต ประจําวัน

“แสงสีฟ้า” เหล่านี้มีผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง ดังนั้น จึงควรปกป้องหรือรักษาสุขภาพของดวงตาด้วยการหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะกับ “เด็ก ควรควบคุมดูแลให้อยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม” รวมถึงควรบริโภค “สารอาหาร” ที่มีคุณประโยชน์ต่อดวงตา

“สําหรับเด็ก” ร่างกายต้องการสารอาหารหลายชนิด เพื่อใช้ในการ เสริมสร้างเนื้อเยื่อและโครงสร้างต่างๆ ของดวงตา และเพื่อช่วยเสริม สร้างการมองเห็น สารอาหารเหล่านี้ได้แก่ “วิตามินเอ” “ดีเอชเอ” “ทอรีน” และ “สารอาหารลูทีน (Lutein)”

ซึ่งเป็นสารอาหารใหม่ที่กําลังเป็นที่ รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ต่างประเทศ ในฐานะสารอาหาร สําคัญที่ช่วย “ปกป้องจอประสาทตาของเด็กเล็กจากแสง และป้องกันอาการจอประสาทตาเสื่อม”

ลูทีน มีประโยชน์ต่อดวงตาอย่างไร?

“ลูทีน”เป็นสารที่มีปริมาณมากในจอประสาทตา หรือ “เรตินาบริเวณMacula Lutea” ซึ่งมีหน้าที่สําคัญในการ “ปกป้องเซลล์รับภาพบริเวณ จอประสาทตา” ที่มีความสําคัญในการมองเห็น โดยลูทีนจะทําหน้าที่ ในการต้านปฏิกิริยาอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในดวงตา และกรอง “แสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาของมนุษย์” (อ้างอิงที่ 35) รวมถึง “ดวงตาเด็ก” ที่ยังบอบบางอีกด้วย

“ลูทีน (Lutein) เป็นสารธรรมชาติที่มีในนมมารดา และในพืช ผักผลไม้หลายชนิด” เป็นสารในตระกูลของ “สารแคโรทีนอยด์” โดยจะ พบได้ในบริเวณดวงตาตรงบริเวณเลนส์ตาและจอรับภาพของตา ในธรรมชาติแล้วแม้จะมี “แคโรทีนอยด์ ที่มีมากกว่า 600 ชนิด” แต่มีเพียง 2 ชนิดนี้เท่านั้น ได้แก่ “ลูทีน และ ซีแซนทีน” ที่พบในจุดรับภาพของจอตา

หนึ่งในนั้นคือ “ลูทีน” ซึ่งทําหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดดและแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทําลายโดยการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้น “จึงทําหน้าที่บํารุงตา” ทําให้จอตาไม่เสื่อมเร็ว พืชผักที่มีสารลูทีนโดยมากมักจะเป็นผัก ผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด แครอท ฟักทอง ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขมฯ

การบริโภคพืชผักที่มีลูทีน หรือแม้แต่อาหารสุขภาพที่มีสารสําคัญนี้มีประโยชน์ในโรคหลาย ชนิดด้วยกัน ที่สําคัญคือ โรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม

โรคต้อกระจก คืออะไร?

“โรคต้อกระจก” คือ ภาวะที่กระจกตาหรือเลนส์ตาขุ่น ทําให้แสงไม่สามารถผ่าน เข้าไปในตาได้ ตามปกติต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อ ต้อกระจกจะ ค่อยๆ ขึ้นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาเป็นปีๆ และสามารถรักษาได้ด้วย การผ่าตัด

โรคจุดรับภาพเสื่อม คืออะไร?

“โรคจุดรับภาพเสื่อม” คือ เกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพ (Macular) ซึ่งเป็นกลางจอตา (Retina) ทําให้การมองเห็นภาพเบลอบิดเบี้ยว บางครั้งอาจรุนแรง ขนาดเห็นจุดด่ามาบังภาพอยู่ตลอดเวลา

งานวิจัย ลูทีนกับโรคต้อกระจก

กลไลของ “ลูทีน สามารถลด ป้องกัน หรือชะลอการเกิดต้อกระจก” ได้นั้น เป็นเพราะ ลดกลไกการเกิดความเสื่อมของโรคต้อกระจก โดยตรง (อ้างอิงที่ 36) และการที่ “แคโรทีนอยด์” มีคุณสมบัติเป็น “สารต้านอนุมูลอิสระ” (อ้างอิงที่ 37) เพราะ “สารอนุมูลอิสระ” เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด “โรคต้อกระจก” (อ้างอิงที่ 38)

มีการวิจัยใน “กลุ่มผู้สูงอายุ” ต่างๆ พบว่ากลุ่ม ที่มีระดับของลูทีนในกระแสเลือดสูงจะมีความขุ่นของเลนส์ตาน้อย กว่า ซึ่งเป็นการวิจัยของจักษุแพทย์และผู้วิจัยสรุปได้ว่า “ลูทีนน่าจะลดการเกิดความเสื่อมของเลนส์ตาในผู้สูงอายุได้จริง” (อ้างอิงที่ 39)

ยังมี“การวิจัย” ว่าการรับประทานลูทีนในปริมาณสูง “เพิ่มความสามารถในการมองเห็นของ ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกไปแล้ว” การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่มีการออกแบบแผนการวิจัยมาอย่างดี และ “ทําการทดลองเป็นเวลานานถึงสองปี” (อ้างอิงที่ 40)

การวิจัยที่ Harvard School of Public Health, Boston “ในผู้ชาย 36,644 คน” ที่ได้รับอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ พบว่า กลุ่มที่ได้รับ “อาหารเสริมที่มีลูทีนจะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก ถึง 19%” (อ้างอิงที่ 41)

การวิจัยที่ University of Massachusetts ท่าวิจัย “ในสุภาพสตรีถึง 50,461 คน” พบว่าการได้รับลูทีนจะ “ลดความเสี่ยง ของโรคต้อกระจกถึง 22%” (อ้างอิงที่ 42)

การวิจัยที่ University of Wisconsin Madison Medical School “ในผู้สูงอายุ 43-48 ปี จํานวน 1,354 คน” พบว่าลูทีนช่วย“ลดอุบัติการณ์ของต้อกระจก ที่เกิดตรงกลางเลนส์ (Nuclear Cataracts) ได้ถึง 50%” (อ้างอิงที่ 43) จากการวิจัยทั้งหมดนี้จึงเป็นที่ยอมรับว่า ลูทีนช่วยลดอุบัติการณ์ โรคต้อกระจกได้จริง

งานวิจัยลูทีนกับโรคจุดรับภาพเสื่อม

นอกจาก “ลูทีน” จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกแล้ว ยังพบว่ามีประโยชน์ใน “โรคจุดรับภาพเสื่อม” ซึ่งมีหลาย ๆ “การศึกษา” สนับสนุนข้อมูลดังกล่าว โดยพบว่า “ถ้าปริมาณลูทีนในลูกตาลดน้อย ลง จะพบความเสื่อมมากขึ้นในการเป็นโรคจุดรับภาพเสื่อม” (อ้างอิงที่ 44)

และความเสี่ยงในการเป็น “โรคจุดรับภาพเสื่อม” จะลดลง หาก “มีปริมาณลูทีนในเลือดสูงขึ้น” (อ้างอิงที่ 45, 46) แสดงให้เห็นว่าการบริโภค อาหารที่มีลูทีนสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้

  • ปกป้องเซลล์จอประสาทตา
  • ช่วยกรองแสงสีฟ้า
  • ลดการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม
  • ช่วยให้มองเห็นภาพชัดขึ้น
ประโยชน์ ของ วิตามินเอ ต่อ ดวงตา คือะไร?

“วิตามินเอ” มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ที่สําคัญคือ “ช่วยในการมองเห็น” (อ้างอิงที่ 47) โดยไปร่วมใช้ในการสร้างสารที่ใช้ ในการมองเห็น หากขาดจะทําให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทําให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรง อาจทําให้ตาบอดได้

  • คงสภาพปกติของการมองเห็น
  • คงสภาพปกติของเยื่อบุต่างๆ
  • ช่วยในการมองเห็นในที่มืด

กลับสู่สารบัญ

วิตามินบี 7 ชนิด และ วิตามิน ซี มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

วิตามิน คืออะไร?

อธิบายแบบง่ายๆ “วิตามิน คือ สารอินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต” ทำหน้าที่ “ปรับสมดุลในร่างกายให้ทำงานดีขี้น” ที่สำคัญคือ “ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์วิตามินขึ้นได้เอง”

“วิตามิน” เป็นสารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกาย แม้ว่า “ร่างกายต้องการวิตามิน ไม่มากนักแต่ก็ขาดไม่ได้” เนื่องจากจะทําให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น หากขาดวิตามินซี จะทําให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน หากขาดวิตามินบี 1 จะทําให้ เป็นโรคเหน็บชา หากขาดวิตามินเอ จะทําให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ เป็นต้น

นักวิชาการได้ แบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิด ตามคุณสมบัติของวิตามิน ดังนี้
1. วิตามินที่ละลายในน้ํา

ชนิดแรก คือ “วิตามินที่ละลายในน้ํา” ร่างกายจะนําวิตามินไปใช้ ประโยชน์ได้ต้องมีน้ําเป็นตัวพาไป ได้แก่ “วิตามินบีรวม” และ“วิตามินซี”

2. วิตามินที่ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในไขมัน

วิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ “วิตามินที่ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในไขมัน” วิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะนําไปใช้ประโยชน์ ได้ต้องมีน้ํามันเป็นตัวนํา วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ “วิตามินเอ” “วิตามินดี” “วิตามินอี” และ “วิตามินเค” (อ้างอิงที่ 48)

วิตามินบีรวม ประกอบด้วยวิตามินอะไรบ้าง?

“วิตามินบีรวม” ประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิดที่รู้จักแพร่หลาย คือ “วิตามินบี 1” “วิตามินบี 2” “วิตามินบี 6” “วิตามินบี 12” “โฟเลต“ไนอะซิน” และสารอาหารที่จัดให้อยู่กับ วิตามินบีรวม ก็คือ “โคลีน” วิตามิน กลุ่มนี้ แม้ว่าจะบริโภคเกินความต้องการในแต่ละวัน ก็จะไม่มีอันตราย เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติ ละลายในน้ํา เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออก เองได้ จึงไม่สะสมให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

“โคลีน (Choline)” เป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ํา และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ “วิตามินบีรวม” โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์ สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ทําหน้าที่เป็นสารสื่อ ประสาทสําคัญที่เกี่ยวข้องกับความจํา การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆ อีกหลายประการ

โดยมีปริมาณที่แนะนําว่าเพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สําหรับผู้ใหญ่ เพศชายและหญิง คือ 550 มก. และ 425 มก. ตามลําดับ (อ้างอิงที่ 49)

สํานักงาน คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําบัญชีแสดง “ปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ํา ที่แนะนําให้ควรบริโภคประจําวันสําหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปี” ขึ้นไป (Thai Recommended Daily Intakes หรือ Thai RDI) รวมถึงข้อความกล่าวอ้าง เกี่ยวกับหน้าที่ของวิตามินที่ละลายในน้ําแต่ละชนิด ตามรายละเอียดในตาราง

ตารางแสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ํา ที่แนะนําให้บริโภคต่อวันสําหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป

ตารางที่ : แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ํา ที่แนะนําให้บริโภคต่อวันสําหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหารของวิตามินที่ละลายในน้ํา (อ้างอิงที่ 50,51)

วิตามินที่ละลายในน้ําปริมาณที่แนะนําให้บริโภคต่อ 1 วันข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับ หน้าที่ของสารอาหาร
วิตามินบี 1 (Thiamine)1.5 มก. (mg)วิตามินบี 1 มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ
วิตามินบี 1 มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
วิตามินบี 1 มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของหัวใจ
วิตามินบี 2 (Riboflavin)1.7 มก. (mg)วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตโปรตีน และ ไขมันตามปกติ
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของเยื่อบุต่างๆ
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาท
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของผิวหนัง
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยในเมตาบอลิซึมปกติของเหล็ก
ในอะชิน (Niacin) หรือวิตามินบี 320 มก. เอ็น อี (mg NE)ไนอะซิน มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของเยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนัง
ไนอะซิน มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และ ไขมัน ตามปกติ
ไนอะซินมีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาท
กรดแพนโทธินิค (Pantothenic acid) หรือวิตามินบี 56 มก. (mg)กรดแพนโทธินิคมีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
กรดแพนโทธินิคมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์และเมตาบอลิซึมตามปกติของฮอร์โมน วิตามินดี และสารสื่อประสาทบางชนิด
วิตามินบี 6 (Vitamin B6)2 มก. (mg)วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงตามปกติ
วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาท
วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในเมตาบอลิซึมปกติของโปรตีนและไกลโคเจน
วิตามินบี 6 มีส่วนช่วยในการทําาหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
โฟเลต (Folate) หรือวิตามินบี 9200 มคก. (µg)กรดโฟลิค โฟเลต มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงตามปกติ
กรดโฟลิค/โฟเลต มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์กรดอะมิโนตามปกติ
กรดโฟลิค โฟเลต มีส่วนช่วยในการทําหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินบี 12 (Vitamin B12)2 มคก. (µg)วิตามินบี 12 ช่วยสร้างสารที่จําเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาทและสมอง
วิตามินบี 12 มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
วิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทําหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินซี (Vitamin C)120 มก. (mg)วิตามินซี ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
วิตามินซี มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของ กระดูกอ่อน
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของกระดูก
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของเหงือก
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของผิวหนัง
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของฟัน
วิตามินซี มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการทํางานตามปกติของระบบประสาท
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการทําหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินซี มีส่วนช่วยในการคืนสภาพของรีดิวซ์วิตามิน
วิตามินซีเพิ่มการดูดซึมเหล็ก

โดย วิตามิน ที่กล่าวมาข้างต้นเหล่านี้ สามารถพบได้ในอาหารต่างๆ อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจําวัน ส่งผลให้พฤติกรรมของ ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ดังนั้น โอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่ จึงเป็นไปได้ยาก เช่น นักเรียนนักศึกษาที่ช่วงเข้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียวเป็นต้น

ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่ช่วย ป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ รับประทานอาหารที่มีการเติมสารอาหาร เหล่านี้ลงไป ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและอยู่ในรูปแบบ ที่รับประทานได้สะดวก อีกทั้งมีรสชาติอร่อย ชวนรับประทาน เช่น รูปแบบ “เม็ดเคี้ยว” เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม “ไม่แนะนําให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่จัดเป็นยา” เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก ซึ่งทั่วไปนั้น มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดง อาการของการขาดวิตามินแล้วเท่านั้น

10 วิตามิน ที่จําเป็นสําหรับเด็ก มีอะไรบ้าง?

1. ประโยชน์ของ วิตามิน เอ (Vitamin A)
  • ช่วยในการทํางานของ ระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยในการเจริญเติบโต
  • ช่วยในการมองเห็น
2. ประโยชน์ของ วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine)
  • ช่วยในการทํางานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
3. ประโยชน์ของ วิตามินบี 2 (Vitamin B2) หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)
  • ช่วยในการทํางาน ของระบบประสาท
4. ประโยชน์ของ วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin)
  • ช่วยในการทํางาน ของระบบประสาท
5. ประโยชน์ของ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid)
  • ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงาน จากการเผาผลาญ
6. ประโยชน์ของ วิตามินบี 6 วิตามินบี 6 (Vitamin B6) หรือ ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)
  • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ทํางานเป็นปกติ
  • ช่วยในการทํางาน ของระบบประสาท
7. ประโยชน์ของ วิตามินบี 12 (Vitamin B12) หรือ ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin)
  • ช่วยในการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยในการทํางานของระบบประสาท และสมอง
8. ประโยชน์ของ วิตามินบี 9 (Vitamin B9) หรือ กรดโฟลิก (Folic acid)
  • ช่วยในการทํางาน ของระบบภูมิคุ้มกัน
9. ประโยชน์ของ วิตามินซี (Vitamin C)
  • ช่วยใน การทํางาน ของระบบ ภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยในการสร้าง คอลลาเจนเพื่อ กระดูก, กระดูกอ่อน และฟันที่แข็งแรง
  • ช่วยในการทํางาน ของระบบ ประสาท
10. ประโยชน์ของ วิตามิน ดี (Vitamin D)
  • ช่วยในการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน
  • ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส

(อ้างอิงที่ 52)

ก็จบกันไปแล้วนะครับ กับข้อมูลที่เราได้นำเสนอไป และอีกเช่นเคย เพื่อ คุณพ่อคุณแม่ที่รักและห่วงใยลูกน้อย ทางเราขอแนะนำเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก จาก กิฟฟารีน

กลับสู่สารบัญ

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก จาก กิฟฟารีนมีอะไรบ้าง?

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มี ความรัก ความห่วงใยลูกน้อย ต้องการมองหา อาหารเสริม ให้กับ ลูก ของคุณ

อาหารเสริม นมอัดเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมแคลเซียม วิตามินดี 3 และฟอสฟอรัส กิฟฟารีน แคลซีน (100 เม็ด)

เติมความสนุกไม่มีสะดุด ด้วย กิฟฟารีน แคลซีน ที่มีแคลเซียมสูง อร่อย เคี้ยวเพลิน เด็กๆ ชอบ

นมอัดเม็ดผสมแคลเซียม บำรุงกระดูก เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็ก

อาหารเสริม นมอัดเม็ดแบบเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมแคลเซียม วิตามินดี 3 และฟอสฟอรัส รสชาติอร่อย ทานง่าย ช่วยเสริมสร้างแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งเป็นแร่ธาตุหลักของกระดูกและฟัน ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในการเจริญเติบโตของเด็กในวัยปีทอง การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายเติบโตและสูงได้เต็มที่มากที่สุด ตามช่วงวัยนั้นๆ แคลซีน 1 เม็ด มีปริมาณแคลเซียมสูงถึง 50 มก.

มีให้เลือก 4 รส: รสนม รสโกโก้ รสสตรอเบอร์รี่ และ รสส้ม

กิฟฟารีน แคลซีน (100 เม็ด)

ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 เม็ด ประกอบด้วย:
นมผง 23.3 %
แคลเซียม คาร์บอเนต 15.87 %
น้ำตาลแลคโตส 11.5 %
นมผงขาดมันเนย 1.6 %
ครีมเทียม 23.0 %
น้ำตาลซูโครซ 12.0 %
ไดแคลเซียม ฟอสเฟต ไดไฮเดรท 7.06 %
หางนม 1.6%
วิตามินดี 3 (100,000 หน่วยสากล/กรัม)         0.02%
กลิ่นสังเคราะห์ 0.66%
วิธีรับประทาน:
เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน (แนะนำทานวันละ 10-15 เม็ด)
อาหารเสริม นมอัดเม็ดแบบเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก สูตรใหม่! แคลเซียมสูงถึง 200 มก./เม็ด กิฟฟารีน แคลซีน ไฮท์ พลัส (40 เม็ด)

ให้เด็กๆ เติบโต แบบ ก้าวกระโดด ด้วย กิฟฟารีน แคลซีน

เม็ดเคี้ยวแคลเซียมสูง อร่อย เคี้ยวเพลิน เด็กๆ ชอบ
นมอัดเม็ดผสมแคลเซียม บำรุงกระดูก เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็ก อาหารเสริมนมอัดเม็ดแบบเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมแคลเซียม วิตามินดี 3 และฟอสฟอรัส รสชาติอร่อย ทานง่าย

ช่วยเสริมสร้างแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งเป็นแร่ธาตุหลักของกระดูกและฟัน ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในการเจริญเติบโตของเด็กในวัยปีทอง การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายเติบโตและสูงได้เต็มที่มากที่สุด ตามช่วงวัยนั้นๆ แคลซีน 1 เม็ด มีปริมาณแคลเซียมสูงถึง 200 มก.

สูตรใหม่! แคลเซียมสูงถึง 200 มก./เม็ด มีให้เลือก 2 รส: รสนม มิลค์ แคลซีน ไฮท์ พลัส และ รสโกโก้ ช็อกโก แคลซีน ไฮท์ พลัส

  • วิตามินดี 3 สูง: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
  • สังกะสีสูง: ช่วยคงสภาพปกติของกระดูก
  • ทองแดงสูง: ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน
  • แมกนีเซียม: เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน
  • ไม่ใส่น้ำตาล: หมดกัลวลเรื่องฟันผุ
  • 0 กิโลแคลอรี
อาหารเสริม เม็ดอมกลิ่นส้ม ผสมโคลีน วิตามินซี และวิตามินบีรวม กิฟฟารีน เซเว่น บี พลัส ไฮ ซี แอนด์ โคลีน (40 เม็ด)

อร่อย ทานง่าย ได้วิตามินซีสูง 200% Thai RDI

เม็ดอมกลิ่นส้ม ผสมโคลีน และวิตามินบีรวม อร่อย ได้ประโยชน์ มีวิตามินซีสูง 200% Thai RDI (ให้วิตามินซี 60 มก./เม็ด) ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย ผสานคุณประโยชน์ของวิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6, 12, โฟเลต และโคลีน ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง

ประโยชน์ของวิตามิน ซี:

  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
  • ช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อความแข็งแรงของกระดูก กระดูกอ่อน และฟันที่แข็งแรง

วิตามินบีรวม: ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยในการทำงานของระบบประสาท

*Thai Recommended Daily Intakes (Thai RDI ) หมายถึง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทย
อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 แคลอรี

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด:
น้ำตาลแลคโตส 157.185 มก.
น้ำตาลเด็กซ์โตรส 139.446 มก.
ซอร์บิทอล 111.538 มก.
น้ำตาลซูโครส 100 มก.
วิตามินซี 61.538 มก.
น้ำตาลฟรุคโตส 30 มก.
ผงส้ม 30 มก.
โคลีน ไบทาร์เทรต 12.2 มก.
วิตามินบี3 2 มก.
วิตามินบี5 0.66 มก.
วิตามินบี6 0.25 มก.
วิตามินบี12 0.1% 0.2 มก.
วิตามินบี1 0.17 มก.
วิตามินบี2 0.17 มก.
กรดโฟลิค 0.02 มก.
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 2 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีแลคโตส

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดอมกลิ่นส้ม ผสมโคลีน วิตามินซี และวิตามินบีรวม กิฟฟารีน เซเว่นบี-ซี แอนด์ โคลีน (40 เม็ด)

อร่อย ทานง่าย ได้วิตามินซีสูง

เม็ดอมกลิ่นส้ม ผสมโคลีน วิตามินซี และวิตามินบีรวม อร่อย ได้ประโยชน์ ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย วิตามินบีและโคลีน ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง

ประโยชน์ของวิตามิน ซี:

  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
  • ช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อความแข็งแรงของกระดูก กระดูกอ่อน และฟันที่แข็งแรง

วิตามินบีรวม: ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยในการทำงานของระบบประสาท

กิฟฟารีน เซเว่นบี-ซี แอนด์ โคลีน (40 เม็ด)

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
น้ำตาลแลคโตส 22.455 %
ซอร์บิทอล 21.4286 %
น้ำตาลเด็กซ์โตรส 19.921 %
น้ำตาลซูโครส 14.2857 %
น้ำตาลฟรุคโตส 4.2857 %
ผงส้ม 4.2857 %
กรดแอสคอร์บิก 2.2 %
โคลีนไบทาร์เทรต 1.7429 %
กลิ่นส้ม 1.143 %
กรดซิตริกอันไฮดรัส 1.1 %
เกลือ 0.2857 %
ไนอะซินาไมด์ 0.2857 %
แคลเซียม ดี-แพนโททีเนต 0.0943 %
ไพริดอกซีนไฮโดรคลอไรด์ 0.0357 %
วิตามินบี12 0.1% 0.0286 %
ไรโบฟลาวิน 0.0243 %
ไทอะมีนไฮโดรคลอไรด์ 0.0243 %
กรดโฟลิก 0.0029 %
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีแลคโตส

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ ผสมลูทีนและวิตามิน เอ กิฟฟารีน แอล ซี วิต จูเนียร์ (100 เม็ด)

เตรียมพร้อม สำหรับ สายตาให้ลูกน้อย ทุกการเรียนออนไลน์

ธัญญาหารชนิดเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ ผสมลูทีนและวิตามิน เอ ช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตาและปกป้องสายตาจากแสงหน้าจอ พร้อมคุณค่าใยอาหารจากเกล็ดธัญพืช

ประโยชน์ของลูทีน

  • ช่วยให้ดวงตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจก
  • ทำหน้าที่ช่วยให้มองภาพได้คมชัด
  • บำรุงจอตา

ประโยชน์ของวิตามินเอ

  • คงสภาพปกติของการมองเห็น
  • คงสภาพปกติของเยื่อบุต่างๆ
  • ช่วยในการมองเห็นในที่มืด

กิฟฟารีน แอล ซี วิต จูเนียร์ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบสำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ครีมเทียม 34.22 %
เกล็ดธัญพืช 25.34 %
น้ำตาล 22.56 %
โพลีเด็กซ์โตรส 8.13 %
หางนมผม 3.56 %
กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ 2.7 %
ลูทีน 1.26 %
ผงมิกซ์เบอร์รี่ 0.9 %
กรดมาลิก 0.4 %
วิตามินเอ แอซีเทต 0.02664 % (500,000 หน่วยสากล/กรัม)
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีข้าวสาลี ถั่วเหลือง บาร์เลย์ นม โซเดียมเคซีเนต (โปรตีนนม)

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมดีเอชเอ และแครอทผง กิฟฟารีน เบรนนี่ (100 เม็ด)

เสริมดีเอชเอ ให้ลูกน้อย เตรียมพร้อม สำหรับ ทุกการเรียนรู้

ธัญญาหารชนิดเม็ดเคี้ยว สำหรับเด็ก ผสมดีเอชเอ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการพัฒนาสมอง พร้อมทั้งใยอาหารจากเกล็ดธัญพืช และเบต้าแคโรทีนจากแครอท รสชาติอร่อย  ทานง่าย ได้ประโยชน์ มีให้เลือก 2 รส: รสข้าวโพด และ รสช็อกโกแลต มอลท์

ประโยชน์ของ ดีเอชเอ (DHA) 

  • ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้และความจำ
  • ช่วยให้สารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์สมอง
  • ช่วยพัฒนาด้านการมองเห็น และป้องกันความเสื่อมของระบบสายตา

กิฟฟารีน เบรนนี่ กลิ่นข้าวโพด (100 เม็ด)

ส่วนประกอบสำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
เกล็ดธัญพืช 34.92%
ครีมเทียม 27.30%
น้ำตาล 18.87%
พอลิเดกซ์โทรส 8.00%
หางนมผง 7.39%
แครอทผง 0.25%
ดีเอชเอผง 0.083%
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

กิฟฟารีน เบรนนี่ รสช็อคโกแลต มอลท์ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบสำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ช็อคโกแลต มอลท์ 30.00%
ครีมเทียม 30.00%
เกล็ดธัญพืช 20.00%
น้ำตาล 7.00%
นมผง 5.17%
หางนมผง 5.00%
แครอทผง 0.25%
ดีเอชเอผง 0.083%
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีปลา ข้าวสาลี ถั่วเหลือง บาร์เลย์ นม โซเดียมเคซีเนต (โปรตีนนม)

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมผักผลไม้รวมและวิตามิน ซี กิฟฟารีน ไฟโต-คิดส์ (100 เม็ด)

ชดเชย วิตามิน และ เกลือแร่ ให้ลูกรัก หมดกังวล เรื่องลูกไม่กินผัก

ไฟโต-คิดส์ เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมผักผลไม้รวมและวิตามิน ซี รสชาติอร่อย ทานง่าย ถูกใจเด็กๆ เหมาะสำหรับเด็กที่ไม่ชอบทานผัก อัดแน่นด้วยคุณค่าของผักและผลไม้กว่า 10 ชนิด ช่วยชดเชยปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย เสริมด้วยวิตามิน ซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

กิฟฟารีน ไฟโต-คิดส์ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบสำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ซอร์ตอล 333.3 มิลลิกรัม
ไอโซมอลท์ 55 มิลลิกรัม
โพลีเด็กซ์โตรส 50 มิลลิกรัม
ผงผักและผลไม้รวม 40 มิลลิกรัม
ไซลิตอล 3.75 มิลลิกรัม
กรดแอสคอร์บิก 0.6 มิลลิกรัม
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผสมโอลิโกฟรุคโตส กลิ่นทุตตี้ ฟรุตตี้ กิฟฟารีน พรีไบโอนี่ (100 เม็ด)

อร่อยถูกใจ ลูกน้อย ได้คุณค่าใยอาหาร

เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก กลิ่นทุตตี้ ฟรุตตี้ รสชาติอร่อย ทานง่าย ผสมโอลิโกฟรุคโตส ซึ่งเป็นใยอาหารจากธรรมชาติ ช่วยปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น ลดอาการท้องผูก ท้องเสีย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้

โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose)

โอลิโกฟรุคโตส คือ ใยอาหารธรรมชาติชนิดละลายน้ำได้ จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่จะผ่านไปเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ หรือที่เรียกว่า พรีไบโอติก (Prebiotic) ทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดี เกิดความสมดุลในลำไส้ จึงลดอาการท้องเสีย ท้องผูก ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี เจ็บป่วยน้อยลง และยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม จึงทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง พบมากใน หัวหอม กระเทียม กล้วย ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ หัวหอม และผักผลไม้ต่างๆ

กิฟฟารีน พรีไบโอนี่ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ครีมเทียม 38.98% (272.86 มก.)
น้ำตาล 24.50% (171.50 มก.)
โอลิโกฟรุคโตส 10.00% (70.00 มก.)
หางนมผง 5.20% (36.40 มก.)
เกล็ดธัญพืช 5.00% (35.00 มก.)
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีข้าวสาลี บาร์เลย์ ถั่วเหลือง นม และโซเดียมเคซีเนต (โปรตีนนม)

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก รสไวท์มอลต์ ผสมเบต้า-กลูแคนและวิตามิน ซี กิฟฟารีน เบต้า-กลู-คิดส์ (100 เม็ด)

ใส่ใจ เสริมภูมิคุ้มกัน ให้ลูกน้อย ง่ายๆ ได้ทุกวัน

เบต้า-กลู-คิดส์ ผลิตภัณฑ์เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก รสไวท์มอลต์ ผสมเบต้า-กลูแคนและวิตามินซี รสชาติอร่อย ทานง่าย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง

เบต้า กลูแคน: สารสกัดจากผนังเซลล์ของยีสต์ สารสำคัญที่ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  • ต้านการติดเชื้อ
  • ส่งผลดีต่อผู้ป่วยภูมิแพ้
  • ปรับสมดุลการทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ลดโอกาสการเกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน

วิตามิน ซี: เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย และสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

  • ต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • ช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อกระดูก กระดูกอ่อนและฟันที่แข็งแรง
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท

กิฟฟารีน เบต้า-กลู-คิดส์ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ไวท์มอลต์ชนิดผง 40.9%
เด็กซ์โตรส 12.8%
เกล็ดธัญพืช 12.0%
ครีมเทียม 12.0%
มอลต์สกัด 12.0%
นมผง 7.5%
ยีสต์, เบต้า-กสูแคน (ให้เบต้า-(1,3)(1,6)-กลูแคน 12.5 มก.), 2.5523%
โซเดียม แอสคอร์เบต (ให้วิตามิน ซี 9 มก.) 1.6875%
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีนม โซเดียมเคซีเนต (โปรตีนนม) ข้าวสาลี ถั่วเหลือง บาร์เลย์

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

อาหารเสริม เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก สูตรผสมโคลีน กิฟฟารีน โคลิน-คิดส์ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ (100 เม็ด)

มาเติมพลัง สมอง ให้ลูกรัก

โคลีนคิดส์ กิฟฟารีน เม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก รสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมกลิ่นสตรอเบอรี่ สูตรผสมโคลีน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยในการส่งกระแสประสาท โดยเฉพาะในส่วนที่ทำหน้าที่ด้านการเรียนรู้และความจำ

โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารที่สำคัญในการบำรุงสมอง จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี มีความจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยการในเรียนรู้, ความจำ และเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง เป็นสารอาหารที่พบมากใน ไข่แดง, เนื้อสัตว์, ปลา, เครื่องในสัตว์, ถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, จมูกข้าว, ข้าวโอ๊ต, กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก

กิฟฟารีน โคลิน-คิดส์ (100 เม็ด)

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด ประกอบด้วย:
ครีมเทียม 35.00%
น้ำตาลทราย 33.27%
เกล็ดธัญพืช 10.00%
หางนมผง 4.52%
โคลีน ไบทาร์เทรต 4.10%
กลิ่นสตรอเบอร์รี่ 1.00%
วิธีรับประทาน:
รับประทานวันละ 5 – 10 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน

ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร: มีข้าวสาลี ถั่วเหลือง บาร์เลย์ นม โซเดียมเคซีเนต (โปรตีนนม)

หมายเหตุ: เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้

กลับสู่สารบัญ

เอกสารอ้างอิง

  1. เครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา,http://www.parent-youth.net/
  2. สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) สํานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี 2542โดย รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, www.rsu.ac.th/html/ebook/BRAIN.PDF
  3. Dietary essential fatty acid and brain function: a developmental perspective on mechanisms, Wainwright E.,Department of Health Studios and Gerontology. University of waterloo, Ontario.Canada. 2002 Feb: 61 (1) 61-9
  4. Maternal DHA and the development of attention in infancy and toddlerhood, Colombo Jet al. Department of Psychology and the Schiefelbusch Institute for Lifespan Studies. University of Kansas. Lawrence 66045, USA., 2004 Jul-Aug; 75 (4): 1254-67
  5. Visual, cognitive, and language assessments at 39 months: a follow-up study of children fed formulas containing long-chain polyunsaturated fatty acids to 1 year of age, Auestad N. et al. Ross Products Division. Abbott Laboratories. ColumbusChlo 43215, USA. 2003 Sep : 112 (3 Pt 1) : 8177-83
  6. Essential fatty acids in visual and brain development, Uauy R. et al. Institute of Nutrition and Food Technology (NTA) University of Chie, Santiago, Chile.. 2001 Sep : 36 (9) : 885-95
  7. Is dietary docosahexaenoic acid essential for term infants ?,Makrides M, Neumann MA, Gibson RA., Department of Paediatricsand Child Health, Flinders Medical Centre, Adelaide, Australia.1996 Jan 31 (1): 115-9
  8. The National Academies Press, Dietary Reference Intakes forThiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline, pages 390-422. http://darwin.nap.edu/nap-cgi/skimit.cgi?recid=6015&chap=390-422
  9. Verbal and visual memory improve after choline supplementation in long-term total parenteral nutrition: a pilot study. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Jan- Feb;25(1):30-5
  10. Cognitive improvement in mild to moderate Alzheimer’s dementia after treatment with the acetylcholine precursor choline alfoscerate: a multicenter, double-blind, randomized, placebo-controlled trial. Clin Ther. 2003 Jan;25(1):178-93
  11. Choline-deficiency fatty liver: impaired release of hepatic triglycerides. J Lipid Res. 1968 Jul;9(4):437-46
  12. Lecithin increases plasma free choline and decreases hepatic steatosis in long-term total parenteral nutrition patients. Gastroenterology. 1992 Apr;102(4 Pt 1):1363-70
  13. Accumulation of 1,2-sn-diradylglycerol with increasedmembrane-associated protein kinase C may be the mechanism for spontaneous hepatocarcinogenesis in choline-deficient rats. J Biol Chem. 1993 Jan25;268(3):2100-5
  14. Inhibition of hepatocarcinogenesis in mice by dietary methyl donors methionine and choline. Nutr Cancer. 1990;14(3-4):175-81
  15. Choline, an essential nutrient for humans. FASEB J. 1991 Apr;5(7):2093-8
  16. Choline deficiency caused reversible hepatic abnormalities inpatients receiving parenteral nutrition: proof of a human choline requirement: a placebo-controlled trial. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Sep-Oct.25(5):260-8
  17. กินผักทุกวัน เด็กไทยทําได้…ของขวัญวันเด็ก จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข http://www.anamai.moph.go.th/ewtadmin/ewt/advisor/main.php?filename=070204
  18. ผัก ผลไม้ 5 สี ที่มีประโยชน์, กองสร้างเสริมสุขภาพ สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร http://203.155.220.217/hpd/slide8.html
  19. Inulin, oligofructose and immunomodulation. Br J Nutr.2005 Apr:93 Suppl 1:549-55
  20. The role of gut-associated lymphoid tissues and mucosal defence. Br J Nutr. 2005 Apr;90 Suppl 1:541-8
  21. Dietary fibres as “prebiotics”: Implications for colorectal cancer. Mol Nutr Food Res. 2005 Jun 49(6):609-19.
  22. Inulin oligotructose and anticancer therapy. Br J Nutr.2002 May:87 Suppl 2:5283-6.
  23. Functional food concept and its application to prebiotics.Dig Liver Dis. 2002 Sep:34 Suppl 2-5105-10.
  24. Prebiotic carbohydrates modify the mucosa associated microflora of the human large bowel. Gut. 2004 Nov;53(11):1610-6.
  25. Effect of the prebiotic oligofructose on relapse of Clostridium difficileassociated diarrhea: a randomized, controlled study. Cin Castroenterol Hepatol. 2005 May:305442-8
  26. Inulin, oligofructose and bone health: experimental approaches and mechanisms. Br J Nutr. 2005 Apr:93 Suppl 1:599-103.
  27. ความรู้เบื้องต้นของระบบภูมิคุ้มกัน ศูนย์รวบรวมและวิเคราะห์เชื้อเอชไอวีแห่งประเทศไทย(National HIV Repository Bioinformatic Center: NHRBC) ในความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กับกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข http://www.nhrc.org/HIV_vaccine/paper16,2.html
  28. เบต้ากลูแคนสารมหัศจรรย์จากธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย www.tistr.or.th/mircen/pdf/pola.pd
  29. Dietary modulation of immune function by beta-glucans, ysiol Behav. 2008 May 23;94(2):276-84. Epub 2007 Dec 4
  30. Purification of soluble beta-glucan with immune-enhancing activity from the cell wall of yeast, Biosci Biotechnol Biochem. 2001 Apr:65(4):837-41
  31. Beta-glucans in higher fungi and their health effects. Nutr Rev. 2009 Nov;67(11):624-31
  32. Effects of beta-glucans on the immune system. Medicina (Kaunas), 2007:43(8):597-606
  33. Immunotoxicity of soluble beta-glucans induced by indomethacin treatment. FEMS Immunol Med Microbiol 1998 Ju;21(3):171-9
  34. Immune-enhancing role of vitamin C and zinc and effect on clinical conditions. Ann Nutr Melao. 2006;50;2385-94. Epub 2005 Dec 21.
  35. Protective role of lutein on light-damage of retina. Wei Sheng Yan Jiu. 2008 Jan;37(1):115-7
  36. The body of evidence to support a protective role for lutein and zeaxanthin in delaying chronic disease. Overview. J Nutr. 2002 Mar;132(3):5185-5245
  37. Antioxidant and prooxidant properties of carotenoids. Arch Biochem Biophys. 2001 Jan 1:385(1):20-7
  38. Ocular photosensitization. Photochem Photobiol. 1987 Dec;46(6):1061-5
  39. Lens aging in relation to nutritional determinants and possible risk factors for age-related cataract. Arch Ophthalmol. 2002 Dec;120(12):1732-7
  40. Lutein, but not alpha-tocopherol, supplementation improves visual function in patients with age-related cataracts: a 2-y double-blind, placebo-controlled pilot study. Nutrition. 2003 Jan:19(1):21-
  41. A prospective study of carotenoid intake and risk of cataract extraction in US men. Am J Clin Nutr. 1999 Oct 70(4):517-24
  42. A prospective study of carotenoid and vitamin A intakes and risk of cataract extraction in US women. Am J Clin Nutr. 1999 Oct;70(4):509-16
  43. Antioxidant intake and risk of incident age-related nuclear cataracts in the Beaver Dam Eye Stucly. Am J Epidemiol. 1999 May 1:149(9):801-9
  44. The macular pigment: a possible role in protection from age-related macular degeneration. Adv Pharmacol. 1997;38:537-56
  45. Antioxidant status and neovascular age-related macular degeneration. Eye Disease Case-Control Study Group. Arch Ophthalmol. 1993 Jan;111(1):104-9
  46. Dietary carotenoids, vitamins A, C, and E, and advanced age-related macular degeneration. Eye Disease Case-Control Study Group. JAMA. 1994 Nov 9.272(18):1413-20
  47. ประกาศสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เรื่องการแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหารhttp://newsser.fda.moph.go.th/food/file/Laws/Announcement%20of%20the%20Food%20and%20Drug%20Administration/Nutrition Claim(11-08-51).pdf
  48. วิตามิน….กินให้เป็น (ตอนที่ 1), ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
  49. Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenicacid, Biotin and Choline. 12 Choline. The NationalAcademies Press. pages 390-422
  50. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182 ) พ.ศ.2541 เรื่อง ฉลากโภชนาการ, สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุข
  51. ประกาศสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องการแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร, สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา
  52. ประกาศสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างหน้าที่ของสารอาหาร. 10 มิถุนายน 2562.

เรียบเรียงและจัดทำโดย Sirikul Shop

สิทธิพิเศษเมื่อสมัครสมาชิกกิฟฟารีนกับเรา

  • ค่าสมัครเพียง 180 บาท เป็นสมาชิกตลอดชีพ ไม่มีค่าต่ออายุรายปี
  • รับแคตตาล็อกสินค้าพร้อมบัตรสมาชิก และรับส่วนลดในการซื้อสินค้าราคาสมาชิก 25% ได้ทันที
  • รับเงินปันผล 10%-15%-25% คืนกลับมาจากการใช้สินค้าทุกเดือน และรับโบนัสพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
  • รับสิทธิ์แลกซื้อสินค้าราคาโปรโมชั่นพิเศษประจำเดือน และโปรโมชั่นของแถมประจำสัปดาห์ ได้ทุกเดือน
  • ประกันคุ้มครองชีวิตฟรี ในรหัสเดียวกัน สามี/ภรรยา วงเงินตั้งแต่ 120,000-320,000 บาท
  • สามารถเลือกได้ว่าต้องการเป็นผู้ใช้สินค้าเพียงอย่างเดียว หรือ ต้องการทำเป็นธุรกิจเพื่อสร้างรายได้
  • สร้างเครือข่ายได้รับลิขสิทธิ์ 4%-10% พร้อมส่งต่อเครือข่าย และรายได้ทั้งหมด เป็นมรดกให้ทายาท
  • เมื่อขึ้นตำแหน่งแล้วจะไม่มีการปรับหรือลดตำแหน่งในภายหลัง แม้ว่าจะไม่ได้รักษายอดในเดือนถัดไป

สำหรับท่านที่สมัครสมาชิกกิฟฟารีน กับ ทางเว็บไซต์ ของเรา

  • รหัส สมาชิก ของท่าน คือ คูปองส่วนลด 25% ในการ ซื้อ สินค้า กับทาง เว็บไซต์ ของเรา
  • เราจำกัดแค่ ต้องใช้คูปองกับ เว็บไชต์ ของเรา แต่ เราไม่ได้จำกัด ผู้ใช้ คุณ จะให้ใครใช้ก็ได้ โดย เราจัดส่งให้ ฟรี !
  • สำหรับ ท่าน ที่ต้องการต่อยอด ธุรกิจ ลองปรีกษาเรา เรายินดีที่จะให้คำปรึกษา แก่คุณ
  • ช่องทางสะดวกให้คำปรึกษา Fan Page Sirikul Shop
สมัครสมาชิก กิฟฟารีน
Shopping Cart
Scroll to Top