,

เจลบำรุงผิวกาย ผสม สารสกัดบัวหิมะ เจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคเข้มข้น 100% โซเดียมไฮยาลูโรเนต และ วิตามิน บี 3 กิฟฟารีน สโนว์ โลตัส-อโล บอดี้ เจล (250 มล.)

354฿

บำรุงผิว ด้วย บัวหิมะ เพื่อความอ่อนเยาว์ตลอดกาล

เจลบำรุงผิวกายเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ พร้อมส่วนผสมของ สารสกัดบัวหิมะ และเจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคเข้มข้น 100% เสริมคุณค่าการบำรุงด้วย วิตามิน  บี 3 ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสเรียบเนียน อีกทั้งมีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้นได้แก่ Sodium Hyaluronate และ Saccharide Isomerate จึงเหมาะสำหรับผิวที่ต้องการความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ

  • เติมน้ำหล่อเลี้ยงให้ผิวได้ทันที ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน
  • ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง กระจ่างใส เรียบเนียน มีสุขภาพดี
  • ฟื้นฟูและคืนความสดใสให้ผิวที่อ่อนแอ ไหม้ แสบแดงอันเกิดจากแสงแดด มลภาวะ และสิ่งแวดล้อมที่ทำร้ายผิว
  • อ่อนโยนต่อผิว ใช้ได้แม้ผิวที่แพ้ง่าย ไม่มีส่วนผสมของสี แอลกอฮอล์ เมนทอล การบูร และสารกันเสียกลุ่มพาราเบน และฟอร์มัลดีไฮด์

Availability: มีสินค้าอยู่ 18

เจลบำรุงผิวกาย ผสม สารสกัดบัวหิมะ เจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคเข้มข้น 100% โซเดียมไฮยาลูโรเนต และ วิตามิน บี 3 กิฟฟารีน สโนว์ โลตัส-อโล บอดี้ เจล (250 มล.)
Giffarine Snow Lotus-Aloe Body Gel : Body Care Gel Mixed With Snow Lotus Extract 100% Concentrated Organic Aloe Vera Gel Sodium Hyaluronate and Vitamin B3 (250 มล.)

บำรุงผิว ด้วย บัวหิมะ เพื่อความอ่อนเยาว์ตลอดกาล

เจลบำรุงผิวกายเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ พร้อมส่วนผสมของ สารสกัดบัวหิมะ Snow Lotus Extract และเจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคเข้มข้น 100% (Organic Aloe Vera Leaf Juice ) จึงช่วยเติมน้ำหล่อเลี้ยงให้ผิวได้ทันที ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวบอบบาง และผิวไหม้อันเกิดจากแสงแดด มลภาวะ และสิ่งแวดล้อมที่ทำร้ายผิว ช่วยฟื้นฟูและคืนความสดใสให้กับผิวที่อ่อนแอ เสริมคุณค่าการบำรุงด้วย วิตามิน บี3 ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสเรียบเนียน อีกทั้งมีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้นได้แก่ โซเดียมไฮยาลูโรเนต Sodium Hyaluronate และ Saccharide Isomerate จึงเหมาะสำหรับผิวที่ต้องการความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง สดใส อ่อนโยนต่อผิว ใช้ได้แม้ผิวที่แพ้ง่าย ไม่มีส่วนผสมของสี แอลกอฮอล์ เมนทอล การบูร และสารกันเสียกลุ่มพาราเบน และฟอร์มัลดีไฮด์

วิธีใช้ : ลูบไล้ผลิตภัณฑ์ให้ทั่วผิวกายเป็นประจำทุกวัน หรือบ่อยครั้งตามต้องการ

สารสกัดบัวหิมะ Snow Lotus Extract

บัวหิมะ (Snow Lotus) เป็น พืชมีความสามารถในการทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็น และแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี เป็นพืชที่มีพลังชีวิตสูงมาก เปรียบเสมือนการเติมพลังให้สู่ผิวของคุณ เมล็ดดอกบัวหิมะใช้เวลา 6-8 ปี กว่าจะเจริญเต็มที่ และค่อย ๆ ขยายเป็นใบอ่อน ภายใต้อุณหภูมิต่ำกว่า -21 องศาเซลเซียส พอโผล่ออกมาจากดินจะใช้เวลากว่า 5 ปีภายใต้หิมะที่ขาวโพลนกว่าจะโตเต็มวัย รวมเวลามากกว่า 13 ปี บนยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะ ตำนานจีนเชื่อว่าบัวหิมะเป็นของขวัญจากพระเจ้าจะช่วยให้อ่อนเยาว์ตลอดกาล

บัวหิมะ (Snow Lotus)  คือ พืชตระกูลทานตะวัน ที่สามารถนำผลมาใช้รับประทานได้ โดย “ผล” ของ “บัวหิมะ” นอกจากจะรับประทานโดยตรงแล้ว ยังสามารถสกัดเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติได้อีกด้วย ซึ่ง”ผล” ของ “บัวหิมะ” อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย นอกจากนี้ “ผล” ของ “บัวหิมะ” ยังมีปริมาณแคลอรีที่ไม่สูงมากนัก จึงเหมาะที่จะนำมารับประทานเพื่อลดน้ำหนัก ในส่วน “ใบ” ของ “บัวหิมะ” ก็จะนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ครีม หรือยาต่าง ๆ เป็นต้น

ประโยชน์ของ สารสกัดบัวหิมะ Snow Lotus Extract
  1. ช่วยลดน้ำหนัก อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า น้ำตาลธรรมชาติของบัวหิมะ และปริมาณแคลอรีที่ต่ำของบัวหิมะ สามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้ โดยนิตยสารทางวิชาการ Clinical Nutrition ที่ตีพิมพ์ฉบับปี 2009 รายงานว่า จากการศึกษาจากผู้หญิงที่รับประทานน้ำเชื่อมจากบัวหิมะในปริมาณ 0.14-0.29 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกันอย่างน้อย 120 วัน จะทำให้น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย รวมไปถึงรอบตัวและช่วงเอวลดลง นั่นเป็นเพราะว่าการรับประทาน น้ำเชื่อมบัวหิมะจะสร้างความรู้สึกอิ่มให้กับร่างกาย ทำให้ความอยากอาหารลดลงนั่นเอง
  2. ช่วยต้านโรคร้ายต่าง ๆ ได้ บัวหิมะถูกนำมาวิจัย เพื่อหาสรรพคุณในการต้านและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง เนื่องจากสรรพคุณบัวหิมะที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายแถมเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ทางการแพทย์ และบัวหิมะก็เป็นพืชที่สามารถปลูกง่าย มีราคาถูก โดยมีงานวิจัยบางแหล่งอ้างว่า สารสกัดจากดอกบัวหิมะมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งกระเพาะ, มะเร็งตับ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทั้งนี้ยังเป็นเพียงงานวิจัยเกี่ยวกับบัวหิมะที่กล่าวอ้างจากในห้องทดลองเท่านั้น หากใครที่เป็นโรคมะเร็งแล้วอยากจะรับประทานอาหารจากบัวหิมะ หรืออยากใช้ประโยชน์ของบัวหิมะเป็นทางเลือกในการรักษา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์และอยู่ในการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
  3. ช่วยรักษาแผลและอาการอักเสบทางผิวหนัง สรรพคุณบัวหิมะคล้าย ๆ กับน้ำผึ้ง ที่ช่วยแก้ปวดแสบปวดร้อน และบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งประโยชน์ของบัวหิมะนี้เป็นที่ยอมรับจากงานวิจัยอย่างแพร่หลายทำให้บัวหิมะถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างครีมในรูปแบบต่าง ๆ ที่นำมาใช้รักษาอาการคันและบรรเทาอาการอักเสบตามผิวหนัง และบัวหิมะยังช่วยรักษาแผลจากไฟไหม้และน้ำร้อนลวกได้อีกด้วย ทำให้ครีมหรือยารักษาที่ผลิตจากบัวหิมะถือเป็นอีกหนึ่งยาสามัญที่ควรมีติดไว้ประจำบ้านเลยทีเดียว
  4. ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและความดัน บัวหิมะ มี โพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดไหลเวียนได้ง่าย ลดภาระการทำงานของหัวใจ กระตุ้นระบบการไหลเวียนและเพิ่มออกซิเจนในเลือด ทั้งหมดนี้จึงสามารถบอกได้ว่า โพแทสเซียมและประโยชน์ของบัวหิมะ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและความดันได้ และบัวหิมะยังสามารถบรรเทาอาการโรคหัวใจและความดันของผู้ป่วยได้อีกด้วย
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ บัวหิมะ มี น้ำตาลฟรุตโตโอลิโกแซคคาไรด์ (Fructooligosaccharide) ที่มีคุณสมบัติในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือด โดยการศึกษาในปี 2011 ซึ่งตีพิมพ์ใน Chemico-Biological Interactions พบว่าการทดลองใช้ประโยชน์ของบัวหิมะกับหนูที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อได้รับอาหารเสริมที่มีส่วนผสมจากบัวหิมะติดต่อกันทุกวัน ระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลมีอัตราลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เมื่อนำประโยชน์ของบัวหิมะมาทดลองกับมนุษย์ก็ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าบัวหิมะ มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเคสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้นั่นเอง
  6. ช่วยป้องกันไขมันพอกตับ สืบเนื่องจากสรรพคุณบัวหิมะที่ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ จากการศึกษาในปี 2008 พบว่า การรับประทานบัวหิมะควบคู่ไปกับไซลิมาริน (Silymarin) ยังส่งผลดีแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบเผาผลาญจนเกิดสภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งจากการศึกษาจากผู้ป่วยที่รับประทานบัวหิมะควบคู่ไปกับไซลิมาริน (Silymarin) ติดต่อกัน 90 วัน พบว่านอกจากระดับคอเลสเตอรอลลดลงแล้ว ทำให้ไขมันในตับลดลงอีกประโยชน์ของบัวหิมะอีกข้อ คือ ช่วยลดความเสี่ยงสภาวะไขมันพอกตับได้
  7. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย บัวหิมะ อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ทางโภชนาการค่อนข้างสูง ดังนั้น การรับประทานบัวหิมะ จึงดีต่อสุขภาพ และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อร่างกายได้ดีมากขึ้นอีกด้วย
  8. ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก บัวหิมะ มี แบคทีเรียโพรไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อร่างกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ประโยชน์ของบัวหิมะนี้ช่วยลดปัญหาด้านระบบขับถ่าย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ลงได้ นอกจากนี้ บัวหิมะ ยังมีไฟเบอร์ที่สูง จึงช่วยส่งเสริมเรื่องระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย
  9. ช่วยบำรุงผิว บัวหิมะ มี สารต้านอนุมูลอิสระมากมายและกรดอะมิโนหลายชนิด ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ทำให้ประโยชน์ของบัวหิมะมีมากกว่าการการรักษาบาดแผล และยังคอยช่วยบำรุงผิวของเราได้อีกด้วย

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้” (Aloe Vera) เป็นไม้ล้มลุกอยู่ในวงศ์  XANTHORRHOEACEAE มีถิ่นกำเนิดที่บริเวณชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา มีลักษณะเด่นคือมีลำต้นปล้องสั้น ใบหนายาวและใหญ่ สีเขียวอ่อน โดยลักษณะพิเศษของ “ว่านหางจระเข้” (Aloe Vera) คือ มีใบอวบน้ำ ข้างในใบจะมีวุ้นใสอัดแน่นอยู่

หลายคนสงสัยว่าวุ้นใสๆ ในใบของว่านหางจระเข้คืออะไร? จริงๆ แล้ววุ้นของ “ว่านหางจระเข้” (Aloe Vera) คือ “ยาง” ของใบอวบอ้วนของมันนั่นเอง นอกจากสรรพคุณเด่นๆ ที่เราคุ้นเคยคือ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ลดรอยแผล ความโดดเด่นของใบอวบน้ำ “ว่านหางจระเข้” (Aloe Vera) ยังมีส่วนที่มีสรรพคุณ เป็น ยาด้วย ทั้งราก และดอก เรียกได้ว่าสมุนไพรชนิดนี้มีประโยชน์ทั้งต้นเลยทีเดียว จนถูกขนานนามว่า “สมุนไพรมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ

ประโยชน์ ของ ว่านหางจระเข้
  1. ว่านหางจระเข้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย
  2. เปลือกของว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณ เป็น ยาระบายอ่อนๆ อีกทั้งช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
  3. ว่านหางจระเข้ ช่วยลดการเกิดแผลในลำไส้ และกระเพาะอาหาร สามารถทานได้ทั้งในขณะท้องว่าง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
  4. เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้ แก้โรคกระเพาะ และโรคลำไส้อักเสบได้
  5. เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้ ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ โดยนำเนื้อวุ้นมาปั่นดื่ม หรือสับเนื้อวุ้นให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อยทานก็ได้
  6. เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้ ช่วยบรรเทาอาการจากริดสีดวงทวาร และช่วยลดอาการเจ็บปวดทวารได้
  7. รากของว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณ แก้โรคหนองในได้
  8. ว่านหางจระเข้ มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อโรคในแผล ช่วยสมานแผล รักษาแผลสด และช่วยให้แผลเป็นแห้งเร็วขึ้น
  9. ใบว่านหางจระเข้ ช่วยรักษาฝี เนื่องจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เย็น จึงนำมาตำใช้พอกรักษาฝีได้
  10. ว่านหางจระเข้ ช่วยแก้อาการท้องผูก ถ่ายเป็นเลือดได้
  11. ว่านหางจระเข้ ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง ช่วยให้ผิวที่เกิดรอยแตกแห้งชุ่มชื่นขึ้น จึงป้องกันรอยดำจากแผลตกสะเก็ด หรือรอยดำของสิวได้
  12. ว่านหางจระเข้ ช่วยป้องกันแดด เนื่องจากเนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้นอกจากจะทำให้ผิวอิ่มน้ำแล้วยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้ด้วย
  13. เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้ ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ และช่วยลดรอยไหม้บนผิวหนังได้
  14. ว่านหางจระเข้ เป็นพืชเย็น ช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายในร่างกายได้
  15. ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณ รักษาฝ้าได้ โดยนำวุ้นจากใบว่านหางจระเข้มาทาบางๆ ก่อนนอน

โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) คืออะไร ?

โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) คือ อนุพันธ์ของ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่ถูกพัฒนาให้สามารถละลายน้ำได้ดี และมีโมเลกุลขนาดเล็กกว่า สามารถซึมเข้าได้สู่ผิวได้ทุกสภาพผิว

ซึ่ง โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) เป็น สารเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว พร้อมทั้งช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี ผิวดูอิ่มฟู ลดเลือนริ้วรอย และปรับสมดุลให้แก่ผิว

ปัจจุบันนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางหลากหลายชนิด เพราะสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก

โดย กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็น กรดที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาได้เอง สามารถพบได้ทั่วไปตามร่างกาย เป็นกรดที่ช่วยเพิ่มความต้านทาน เพิ่มความยืดหยุ่น และลดการเสียดสีของเซลล์

แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผลิต กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ได้น้อยลง ทำให้ต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิคแอซิดเพื่อความเยาว์วัยของผิว

ความแตกต่างระหว่าง โซเดียมไฮยาลูโรเนต กับ กรดไฮยาลูโรนิก

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) คือ อนุพันธ์ของ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่ถูกพัฒนาขี้น และมีโมเลกุลขนาดเล็กกว่า

ข้อแตกต่างระหว่าง โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) และ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) คือ ขนาดโมเลกุล นอกจากขนาดของโมเลกุลที่แตกกันแล้ว คุณสมบัติขอสารทั้งสองชนิดยังแตกต่างกันอีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

คุณสมบัติของ โซเดียมไฮยาลูโรเนต Sodium Hyaluronate

อย่างเรารู้กันว่า โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) มีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่า เพราะ โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) เป็นอนุพันธ์ที่พัฒนามาจาก กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งทำให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากกว่า โดยที่คุณสมบัติของ โซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate) มีดังนี้

  1. ช่วยเติมความชุ่มชื้น
  2. ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู
  3. ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว
  4. ช่วยลดลดเลือนริ้วรอย
  5. ช่วยปรับสมดุลให้แก่ผิว
  6. ช่วยปลอบประโลมผิวที่โดนทำร้ายจากมลภาวะ
ประโยชน์ของ Sodium Hyaluronate กับการดูแลผิว
  1. ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น Sodium Hyaluronate เป็นสารที่สามารถละลายน้ำได้ดี ตามรายงานในปี 2019 พบว่า Sodium Hyaluronate ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่าเมื่อเทียบกับ Hyaluronic Acid สามารถเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังช่วยลดความแห้งกร้านและช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ด้วย เมื่อผิวได้รับน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการจะช่วยรักษาสมดุลให้แก่ผิว ทำให้ผิวแลดูมีสุขภาพดี และอ่อนเยาว์
  2. ช่วยลดเลือนริ้วรอย เพราะคุณสมบัติที่สามารถละลายน้ำและซึมเข้าสู่ผิวได้ดีของ Sodium Hyaluronate ซึ่งเมื่อทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Sodium Hyaluronate จะช่วยทำให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Sodium Hyaluronate สามารถลดความลึกของริ้วรอยบนผิวลงได้จริง
  3. ช่วยลดการอักเสบของผิว จากการศึกษาในปี 2013 และ 2014 พบว่าสาร Sodium Hyaluronate สามารถช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวหนังได้ โดย Sodium Hyaluronate สามารถส่งเสริมการผลิต beta-defensin 2 ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อ ยังควบคุมการทำงานของเซลล์อักเสบ ทำให้ Sodium Hyaluronate มีคุณสมบัติสามารถลดรอยแดง อาการแสบร้อน และตุ่มนูน ที่มีสาเหตุมาจากการจากอักเสบของผิวได้
  4. ช่วยรักษาบาดแผล จากการศึกษาในปี 2017 พบว่า Hyaluronic Acid สามารถช่วยรักษาแผลเป็นและแผลที่เกิดจากไฟไหม้ได้ โดย Hyaluronic Acid ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนของเซลล์และการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อทำให้บาดแผลมีอาการที่ดีขึ้น ทั้งนี้หากแพทย์ใช้สารนี้ทาลงไปบริเวณที่เกิดแผลก็อาจช่วยลดขนาดของบาดแผล ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และช่วยเร่งให้บาดแผลหายเร็วขึ้นได้
ประโยชน์ของ ไนอะซินาไมด์ Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีประโยชน์มากสำหรับผิว สามารถช่วยรักษาสิว รวมทั้งลดการอักเสบและรอยแดง ปรับปรุงการทำงานของเกราะป้องกันผิว และทำให้จุดด่างดำดูจางลง

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น การเปลี่ยนสีผิว และความแห้งกร้าน เมื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ มักจะรวมเป็นส่วนผสมใน เซรั่ม ครีม และโลชั่น

นอกจากนั้น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังดีต่อผิวของเราและสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างดี ต้านมลภาวะ เพิ่มความชุ่มชื่น นุ่มเนียน รูขุมขนดูกระชับ และอ่อนโยนต่อผิวกว่า สารสกัดประเภท AHA BHA

  1. ช่วยลดรอยแดง รอยดำ รอยสิวได้ดี และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
  2. ช่วยคุมความมัน Niacinamide เข้าไปปรับสมดุลในต่อมไขมัน และป้องกันไม่ให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป
  3. ช่วยกระชับขนาดรูขุมขน เมื่อน้ำมันบนผิวลดลง ไม่มีสิ่งอุดตันรูขุมขน จึงทำให้รูขุมขนเรียบเนียนขึ้น
  4. ช่วยเติมความชุ่มชื้น ให้ผิวไม่ขาดน้ำ โดยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ให้ผิวชุ่มชื้น เหมาะสำหรับฟื้นฟูผิวที่แห้ง
  5. ปกป้องผิวจากอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และกระตุ้นในการสร้างเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรง Skin Barrier ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวของเราเสมือนเป็นโล่ป้องกันที่เซลล์ผิว
  6. ลดริ้วรอย โดย Niacinamide จะเข้าไปสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ทำให้ผิวเด้งอิ่มฟูขึ้น
  7. ช่วยลดสิวอุดตัน รอยสิว เพราะว่า Niacinamide มีส่วนในการช่วยลดการอักเสบ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบ

เรียบเรียงและจัดทำโดย Sirikul Shop

รหัสสินค้า : 84014

เลขที่จดแจ้งผลิตภัณฑ์ :  10-1-5975388

ขนาด กxยxส :  5.0×20.6

น้ำหนัก/กิโลกรัม : 0.28

รีวิว

ยังไม่มีบทวิจารณ์

มาเป็นคนแรกที่วิจารณ์ “เจลบำรุงผิวกาย ผสม สารสกัดบัวหิมะ เจลว่านหางจระเข้ออร์แกนิคเข้มข้น 100% โซเดียมไฮยาลูโรเนต และ วิตามิน บี 3 กิฟฟารีน สโนว์ โลตัส-อโล บอดี้ เจล (250 มล.)”

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Shopping Cart
Scroll to Top