, ,

อาหารเสริม วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง สำหรับคุณผู้หญิง ชนิดเม็ด กิฟฟารีน ซูปราวิต-ดับเบิ้ลยู (60 เม็ด)

480฿

วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง เพื่อสุขภาพที่ดี ของผู้หญิง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง ให้สารไอโซฟลาโวน ซึ่งทำงานคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง มีคุณสมบัติช่วยลดภาวะกระดูกบาง และเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกในสตรีวัยหมดประจำเดือน

Availability: มีสินค้าอยู่ 20

อาหารเสริม วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง สำหรับคุณผู้หญิง ชนิดเม็ด กิฟฟารีน ซูปราวิต-ดับเบิ้ลยู (60 เม็ด)
Giffarine Supraa Vit-W : Dietary Supplements Vitamins and Minerals Mixed with Soybean Germ For Women Tablet Type (60 tablets)

วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง เพื่อสุขภาพที่ดี ของผู้หญิง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง ให้สารไอโซฟลาโวน ซึ่งทำงานคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง มีคุณสมบัติช่วยลดภาวะกระดูกบาง และเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกในสตรีวัยหมดประจำเดือน

จมูกถั่วเหลือง (Soy Germ) เป็นแหล่งอาหารธรรมชาติที่ ให้สารไอโซฟลาโวน ที่มีโครงสร้างและการทำงานคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงในปริมาณที่สูง จึงสามารถเสริมเพื่อทดแทนฮอร์โมนให้ร่างกายได้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสตรีที่มีอาการวัยทอง และผู้ที่ต้องการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงให้ร่างกาย

ประโยชน์ของจมูกถั่วเหลือง

  1. ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน
  2. ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลังสดใสลดอาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด ในสตรีวัยทอง
  3. ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ
  4. ช่วยเพิ่มมวลกระดูกและลดภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน ที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนของสตรีวัยหมดประจำเดือน

วิตามินใน Supraa Vit 1 เม็ด มี วิตามิน 13 ชนิด

  1. วิตามินเอ 2.664 IU
  2. วิตามินบี 1 1.5 มก.
  3. วิตามินบี 2 1.7 มก.
  4. วิตามินบี 3 20 มก.
  5. วิตามินบี 5 6 มก.
  6. วิตามินบี 6 2 มก.
  7. วิตามินบี 12 2 มคก.
  8. วิตามินซี 60 มก.
  9. วิตามินดี 200 IU
  10. วิตามินอี 15 IU
  11. วิตามินเค 80 มคก.
  12. โฟเลต 200 มคก.
  13. ใบโอติน 150 มก.

เรื่องน่ารู้ ของ วิตามิน และ เกลือแร่

วิตามิน เอ (Vitamin A)

“วิตามิน เอ (Vitamin A)” ช่วยใน “การมองเห็นในที่มืด” ทำให้การเจริญและการพัฒนาของเซลล์บุผิวเป็นปกติ มีบทบาทในการเจริญเติบโตของกระดูก ฟัน ทารกในครรภ์

ส่วนในด้านของผิวพรรณนั้น วิตามิน เอ (Vitamin A) จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่, ลดอาการอักเสบของผิว, ช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้ วิตามินเอจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการลดสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ

อาหารที่มี วิตามิน เอ (Vitamin A) โดยธรรมชาติ มีอยู่ในผักใบเขียว ใบเหลือง ไข่แดง ตับ นม เนย ปลา มะเขือเทศ แครอท เป็นต้น

โดย วิตามิน เอ (Vitamin A) ที่ได้จากเนื้อสัตว์จะดูดซึมได้ดีกว่า ในด้านของตัววิตามิน หรืออาหารเสริม จะมีการนำ วิตามิน เอ (Vitamin A) มาผสมในปริมาณ 5,000 – 10,000 IU ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณ ที่กำลังพอดีต่อร่างกาย และได้มีการนำมาทำแบบเป็นน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ในการทาเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ถ้าขาดจะเกิดอาการเกี่ยวกับตา (เยื่อตาแห้ง เหี่ยวย่น กลัวแสงสว่าง) อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ (เยื่อบุทางเดินหายใจลอกหลุดง่ายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย) และอาการเกี่ยวกับผิวหนัง (ทำให้ผิวหนังแห้ง หยาบกร้าน เป็นเกล็ด)

ประเภทของ วิตามิน เอ (Vitamin A)
  1. วิตามิน เอ ที่อยู่ในกลุ่ม เรตินอลที่พร้อมใช้งาน (Performed vitamin A : retinol) จะพบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น นม ปลา และตับ จะถูกดูดซึมไปใช้ในรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที
  2. วิตามิน เอ ที่อยู่ในรูปแบบสารตั้งต้น (Provitamin A carotenoids) ซึ่งส่วนใหญ่จะพบ สารเบต้าแคโรทีน beta-carotene มากที่สุด พบได้ในอาหารจากพืช เช่น ผักและผลไม้ ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแคโรทีนอยด์เหล่านี้ให้เป็นเรตินอลอีกที
ประโยชน์ของ วิตามิน เอ (Vitamin A)
  1. บำรุงสุขภาพและป้องกันการเสื่อมของตา วิตามินเอ เป็น วิตามินที่มีความสำคัญต่อการมองเห็นและสุขภาพตาของเรา การรับประทานวิตามินเอที่เพียงพอ จึงช่วยในการบำรุงสายตา และช่วยป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับดวงตาบางชนิดได้ เช่น โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ลดความเสียงในการเป็นต้อกระจก และยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในตอนกลางคืนได้อีกด้วย
  2. มีส่วนช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน วิตามินเอ เป็น สารอาหารที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยวิตามินเอจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการตอบสนองต่างๆ ที่ปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ และวิตามินเอยังเกี่ยวข้องกับการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยในการดักจับเชื้อโรคและแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้
  3. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง Provitamin A carotenoids เช่น เบเต้าแคโรทีน เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง สารต้านอนุมูลอิสระนี้จะปกป้องร่างกายของเรา ยับยั้งการเกิดภาวะเครียด (Oxidative stress) ซึ่งภาวะเครียดนี้จะเชื่อมโยงกับการเกิดภาวะโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวาน เป็นต้น
  4. ช่วยลดโอกาสการเกิดสิว วิตามินเออาจมีส่วนช่วยในการลดสิว โดยได้มีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า เรตินอยด์ ซึ่ง เป็นกลุ่มสารของอนุพันธุ์วิตามินเอ สามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ และอาจมีส่วนช่วยในการลดรอยแผลเป็นจากสิวได้
  5. บำรุงผิวพรรณ ป้องกันการเกิดผิวแห้งหยาบกร้าน วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนในการช่วยป้องกันการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยที่เกิดก่อนวัยอันควร มีส่วนช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดดได้อีกด้วย
  6. มีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็ง วิตามินเอ อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งบางชนิด เนื่องจาก วิตามินเอมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ผักและผลไม้ที่มีสารแคโรทีนอยด์จึงอาจป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โดยได้มีการศึกษา การเสริมวิตามินเอและเรตินอล อาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ เป็นต้น
  7. ส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก การได้รับวิตามินเออย่างเพียงพอ จะมีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแรงของกระดูกได้ ผู้ที่ได้รับวิตามินเอในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก กระดูกจะไม่มีความแข็งแรง อาจแตกหรือหักได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานวิตามินเอให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้กระดูกมีความแข็งแรง สามารถทำงานได้ดีสมบูรณ์มากขึ้น

วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine)

“วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือ ไทอะมีน (Thiamine)” มีความจำเป็นต่อ “ระบบเผาผลาญอาหารและระบบประสาทของร่างกาย”

ถ้าขาดจะเป็นโรคเหน็บชา อาการสำคัญจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยทางระบบประสาทจะมีอาการชาตามมือตามเท้า ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ส่วนอาการทางสมองพบว่า เนื้อสมองจะถูกทำลาย ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม สำหรับทางระบบหัวใจและหลอดเลือดพบว่าหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจมีขนาดโตขึ้น

วิตามินบี 2 (Vitamin B2) หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)

“วิตามินบี 2 (Vitamin B2) หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)” มีความจําเป็น ต่อการหายใจของเซลล์ เมตาบอลิซึม ของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เป็น Co-enzyme ในการเปลี่ยนวิตามินบี 6 และ กรดโฟลิคให้อยู่ในรูป Active ทั้งยังทําหน้าที่รักษาสภาพของเยื่อบุผิวและ Mucosa ให้เป็นปกติ

หากขาดจะมีอาการแสดงทางตา ริมฝีปากและผิวหนัง เริ่มแรกนั้นริมฝีปากจะ อักเสบ แห้งและแตก มุมปากจะขีดแตก เรียกลักษณะดังกล่าวว่าปากนกกระจอก (Angular stomatitis) และเมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการทางผิวหนัง ใบหน้ามีสะเก็ด มันๆ ต่อมาจะมีอาการอักเสบของตา ตาสู้แสงไม่ได้ คันตาและแสบลูกตา

วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin)

“วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin)” มีบทบาทในกระบวนการ Glycolysis, Kreb’s cycle และการสังเคราะห์กรดไขมัน

“หากขาดจะมีผลต่อระบบประสาท” โดยมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลายไขสันหลัง และสมอง เช่น ปลายประสาทอักเสบ ซึ่งอาจมีอาการคลุ้มคลั่ง และหมดสติก่อนตาย รวมถึงยังมีผลต่อระบบผิวหนัง ทําให้มีลักษณะผิวหนังหยาบ เป็นสีม่วงหรือเข้ม

นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่มีร่องแตก ที่บริเวณริมฝีปาก เยื่อบุลิ้นจะฝ่อ มีอาการอักเสบของลําไส้เล็กและมีเลือดออก ท้องเดิน

ไนอะซินาไมด์ Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือ ไนอะซิน (Niacin) ในวงการสกินแคร์จะอยู่ในชื่อของ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) นั้นเอง จัดเป็นวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B-Complex) ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ผิวละเอียดขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการอักเสบระคายเคืองผิว

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ใต้ชั้นผิวช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอุ้มน้ำ ช่วยลดการเกิดผิวแห้งกร้านและหย่อนคล้อย ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยก่อนวัยได้ และยังมีประสิทธิภาพปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้นเป็นธรรมชาติ

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังมีประสิทธิภาพช่วยลดความเสื่อมหรือความชราของเซลล์ผิวได้ โดยเฉพาะความเสื่อมของเซลล์ผิวที่เกิดจาก AGEs ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นระหว่างโมเลกุลของน้ำตาลกับสารชีวโมเลกุลชนิดอื่น ๆ ในชั้นผิว

ส่งผลให้สารชีวโมเลกุลในร่างกายเปลี่ยนสภาพ คอลลาเจน (Collagen) และ อีลาสติน (Elastin) ใต้ชั้นผิวเสียโครงสร้างและถูกทำลาย ทำให้ผิวแห้งกร้าน หย่อนคล้อย ไม่ยกกระชับ ปัญหาที่ตามมาก็คือริ้วรอย ความหมองคล้ำ และกระ ฝ้า จุดด่างดำ

ประโยชน์ของ ไนอะซินาไมด์ Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีประโยชน์มากสำหรับผิว สามารถช่วยรักษาสิว รวมทั้งลดการอักเสบและรอยแดง ปรับปรุงการทำงานของเกราะป้องกันผิว และทำให้จุดด่างดำดูจางลง

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น การเปลี่ยนสีผิว และความแห้งกร้าน เมื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ มักจะรวมเป็นส่วนผสมใน เซรั่ม ครีม และโลชั่น

นอกจากนั้น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ยังดีต่อผิวของเราและสามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างดี ต้านมลภาวะ เพิ่มความชุ่มชื่น นุ่มเนียน รูขุมขนดูกระชับ และอ่อนโยนต่อผิวกว่า สารสกัดประเภท AHA BHA

  1. ช่วยลดรอยแดง รอยดำ รอยสิวได้ดี และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
  2. ช่วยคุมความมัน Niacinamide เข้าไปปรับสมดุลในต่อมไขมัน และป้องกันไม่ให้ผลิตน้ำมันมากเกินไป
  3. ช่วยกระชับขนาดรูขุมขน เมื่อน้ำมันบนผิวลดลง ไม่มีสิ่งอุดตันรูขุมขน จึงทำให้รูขุมขนเรียบเนียนขึ้น
  4. ช่วยเติมความชุ่มชื้น ให้ผิวไม่ขาดน้ำ โดยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ให้ผิวชุ่มชื้น เหมาะสำหรับฟื้นฟูผิวที่แห้ง
  5. ปกป้องผิวจากอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และกระตุ้นในการสร้างเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรง Skin Barrier ทำหน้าที่คอยปกป้องผิวของเราเสมือนเป็นโล่ป้องกันที่เซลล์ผิว
  6. ลดริ้วรอย โดย Niacinamide จะเข้าไปสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ทำให้ผิวเด้งอิ่มฟูขึ้น
  7. ช่วยลดสิวอุดตัน รอยสิว เพราะว่า Niacinamide มีส่วนในการช่วยลดการอักเสบ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบ

วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid)

“วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid)” มีความเกี่ยวข้องกับ “ปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายหลายอย่าง” เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต การสังเคราะห์กรดไขมัน ถ้าขาดอาจจะมีอาการปวดท้อง อาเจียน และเป็นตะคริว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ

แพนทีนอล (Panthenol) ซึ่ง บางครั้งเรียกว่า โปรวิตามินบี5 (Pro-vitamin B5) คือ กรดอิสระที่สามารถละลายในน้ำได้ อยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม สามารถพบได้ตามแหล่งอาหารทั่วไป และสามารถสกัดออกมาเป็นสารบริสุทธิ์ได้ สามารถดูดซึมเข้าเส้นผมและผิวหนังได้อีกด้วย

และจะถูกเปลี่ยนเป็น กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) ทันทีหลังจากที่ดูดซึมไปแล้ว อาจจะเรียกได้ว่า กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) คือ แพนทีนอล (Panthenol) ที่มีการเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามิน B5 หลังจากดูดซึมเข้าไปในร่างกายนั่นเอง

ซึ่งในปัจจุบันนี้ Pantothenic acid หรือ วิตามิน B5 ก็มีการรีวิวมากมาย เพราะว่านิยมในการสกัดออกมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่จะเข้ามาช่วยในการบำรุงผิวหน้าและผิวกาย

สำหรับ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) ก็มีคุณสมบัติหลายประการที่จะช่วยในการดูแลสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการนำไปช่วยในการสลายสารอาหารต่างๆ อย่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ไปเป็นพลังงาน เพื่อใช้งานในแต่ละวัน ช่วยในการสร้างวิตามินเอและวิตามินดีในร่างกาย ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินในเลือด ช่วยลดความเครียด และเสริมการทำงานร่วมกับวิตามินบีอื่นๆ เพื่อรักษาระดับปริมาณวิตามินในร่างกายให้สมดุล

นอกจากนี้แล้ว เมื่อนำ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) หรือ กรดแพนโททีนิค (Pantothenic acid) ไปใช้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอางได้ เพราะว่า วิตามินบี 5 (Vitamin B5) มีสรรพคุณในการ ช่วยลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้า เพื่อช่วยลดการเกิดสิว สร้าง Coenzyme-A ให้กับร่างกายเพื่อใช้ในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินของร่างกาย และลดการสร้างฮอร์โมนเอนโดรเจน ต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ ทำให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) กับเส้นผมและหนังศรีษะ

วิตามินบี 5 (Vitamin B5) ในการดูแลและปกป้องเส้นผม จะออกฤทธิ์ป้องกันความแห้งกรอบของเส้นผม ช่วยซ่อมแซมผิวรอบนอกของเส้นผมที่ถูกกัดกร่อนโดยน้ำยาดัด น้ำยายืด และความร้อนจากการอบ ไดร์ผม ปกป้องเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นกับเส้นผมและหนังศรีษะไม่ให้ถูกทำลายโดนความร้อน หรือสารเคมี ช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้นุ่มสลวยเงางาม มีน้ำหนักไม่แห้งเสียหรือชี้ฟู หรือแตกปลาย และยังป้องกันการเกิดรังแคด้วย

ประโยชน์ของ วิตามินบี 5 (Vitamin B5) กับผิว
  1. ช่วยให้ความชุ่มชื้น กักเก็บความชุ่มชื้น
  2. เป็นเกราะกำบังให้กับผิว (skin barrier)
  3. ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น
  4. ช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบ ลดรอยแดง ลดอาการแพ้คัน ช่วยสมานแผล
  5. ช่วยบรรเทาอาการคัน จากการแพ้
  6. ช่วยลดรอยแดง
  7. ช่วยสมานแผล และเร่งการสร้างเนื้อเยื่อชั้นผิวใหม่
  8. ช่วยบำรุงให้สุขภาพผมดี ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม และให้ผมแข็งแรงเงางาม
  9. ช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาผิว
  10. ดูดซับความชุ่มชื้นได้อย่างรวดเร็ว

วิตามินบี 6 (Vitamin B6) หรือ ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)

“วิตามินบี 6 (Vitamin B6) หรือ ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)” มีความสำคัญต่อ “ปฏิกิริยาทั้งหมด ในกระบวนการที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาทางชีวเคมี” (Metabolism) ของกรดอะมิโน (สร้างและสลายโปรตีน)

มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดจะมีอาการอ่อนเพลีย ชาตามปลายมือ ปลายเท้า โลหิตจาง รวมถึงอาการทางประสาท เช่น สับสน ซึมเศร้า และชัก

วิตามินบี 12 (Vitamin B12) หรือ ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin)

“วิตามินบี 12 (Vitamin B12) หรือ ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin)” มีความจำเป็นต่อ “กระบวนการที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาทางชีวเคมี” (Metabolism) ของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน มีบทบาทในการเจริญและแบ่งตัวของเซลล์รวมทั้งการสังเคราะห์ Myelin (สารหุ้มเส้นประสาท) ด้วย

มีความสำคัญต่อการสร้งเซลล์ผิว โดยเฉพาะเยื่อบุทางเดินอาหาร ถ้าขาดจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร โลหิตจาง ชาตามมือและเท้า ถ้าขาดมากจะมีอาการสับสน และประสาทหลอนได้

วิตามินซี (Vitamin C)

“วิตามิน ซี (Vitamin C)” เป็น “สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)” ที่ดี มีส่วนช่วยในการสร้าง เนื้อเยื่อ “คอลลาเจน (Collagen)” จึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยและช่วยป้องกันอันตรายจากรังสียูวีจากแสงแดด นอกจากนี้ยังสามารถลดภาวะการเกิดผิวหมองคล้ําได้อย่างนัยสําคัญ จึงเป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้ผิวพรรณแลดูกระจ่างใส และมีสุขภาพดี

ประโยชน์ของ วิตามินซี กับความสวยความงาม

มีบทบาทในระบบ “ปฏิกิริยาไฮดร๊อกซิเลชั่น (Hydroxylation)” ของ “โพรลีน (Proline)” เพื่อสร้าง “คอลลาเจน (Collagen)” ซึ่งเป็นองค์ประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน ฟัน และผนังเส้นเลือด ช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็ก ถ้าขาดจะมีเลือดออกตามไรฟัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหงือกบวม ฟันหลุดง่าย

  • มีส่วนช่วยในการทําหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • มีช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
  • มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนเพื่อการทํางานตามปกติของผิวหนัง
ประโยชน์ของวิตามินซี ที่ช่วยเรื่องบำรุงผิว

นอกจาก “วิตามิน ซี (Vitamin C)” จะช่วยเรื่องสุขภาพและภูมิคุ้มกันของเราแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณอีกด้วยไม่ว่าจะจากการรับประทานหรือจากการที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆนำไปผสมจนเป็นสารบำรุงผิวสามารถใช้ภายนอกได้

  1. ช่วยเรื่องผิวกระจ่างใส วิตามินซีเองเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มี่อนุภาคเป็นกรด และมีฤทธิฺในการยั้งยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน จึงสามารถช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวและบำรุงผิวให้กระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมอีกด้วย
  2. ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน วิตามินซียังช่วยในการสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความตึงขึ้นข่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ตัววิตามินซีเอง เมื่อนำมาเป็นสารบำรุงหน้าแล้ว มีสรระคุณในการควบคุมความมันและเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ในผิว ทำให้หน้าไม่แห้งและมีความฉ่ำมากขึ้น
  4. กระชับรูขุมขน หน้าเรียบเนียน นอกจากจะช่วยในเรื่องฟื้นฟูคอลลาเจนแล้ว ด้วยคุณสมบัติในการควบคุมความมันของใบหน้า ทำให้ลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง ทำให้รูขุมขนที่กว้างเพราะผลิตน้ำมันมาก ดูเล็กลงจนใบหน้าดูเรียบเนียนผิวกระชับ
  5. ช่วยลดรอยดำและรอยแดง จากคุณสมบัติของวิตามินซีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ จึงช่วยเรื่องผลัดเซลล์ผิว จึงทำให้บริเวณที่มีรอยดำ หรือรอยแดงจากสิว จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ให้สีผิวเรียบเนียนเท่ากันมากขึ้น

วิตามิน ดี (Vitamin D)

“วิตามิน ดี (Vitamin D)” ช่วยในเรื่อง “การดูดซึมแคลเซียม” ถ้าขาดจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง ทำให้ต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ส่งผลให้กระดูกอ่อน และจะมีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ปวดข้อ โลหิตจาง อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่มีแรง

วิตามิน อี (Vitamin E)

“วิตามิน อี (Vitamin E)” เป็น “สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)” ป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ ทําให้เม็ดเลือดแดง ไม่แตกง่าย และจําเป็นต่อการเจริญและพัฒนาต่อเซลล์ประสาท

“วิตามิน อี (Vitamin E)” เป็น “สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)” ซึ่งจะไป “ทำให้เป็นกลาง (Neutralized)” ของการเกิด “อนุมูลอิสระ (Free radicals)” ดังนั้น “วิตามิน อี (Vitamin E)” เป็น สิ่งสำคัญในการดูแลรักษาผิว

มีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า “วิตามิน อี (Vitamin E)” ช่วยลด “โรคสะเก็ดเงินเกิดผื่นแดง (Psoriasis erythema)” และช่วยลดการเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง ช่วยรักษาแผลเป็น และช่วยลดริ้วรอยบนผิว

และจากการศึกษาพบว่า ผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า จะมีปริมาณของ “วิตามิน อี (Vitamin E)” มากกว่าบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อมไขมัน เป็นช่องทางที่สำคัญ ในการหลั่ง “วิตามิน อี (Vitamin E)” ออกสู่ผิวหนัง

ประโยชน์ของ วิตามิน อี

ประโยชน์ของการใช้ ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ วิตามิน อี ในการป้องกันและรักษาผิวพรรณ

  1. ช่วยลดอัตราการทำลายของแสงแดด ที่ทำให้เกิดรอยแดง
  2. ลดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังจากแสงแดด
  3. ช่วยชลอความชราภาพของผิว ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แตกลาย
  4. การให้ความชุ่มชื้นและ ลดความหยาบกร้านของผิวพรรณ

จะเห็นได้ว่า “วิตามิน อี (Vitamin E)” มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันผิวและช่วยบำรุงรักษาผิวและช่วยป้องกันอันตรายที่เกิด จากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตได้อีกด้วย

การใช้ “วิตามิน อี (Vitamin E)” เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางจะได้ผลดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปริมาณ “วิตามิน อี (Vitamin E)” ที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง ปริมาณ “วิตามิน อี (Vitamin E)” ที่ใช้เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงจะต้องมีปริมาณความเข้มข้นที่ เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

วิตามิน เค (Vitamin K)

“วิตามิน เค (Vitamin K)” ช่วยเสริมสร้าง “การทำงานของตับ” ในการสร้างสารที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือดหลายชนิด ได้แก่ Prothrombin, Proconvertin ถ้าขาดจะทำให้เลือดแข็งตัวช้า

วิตามินบี 9 (Vitamin B9) หรือ กรดโฟลิก (Folic acid)

“วิตามินบี 9 (Vitamin B9) หรือ กรดโฟลิก (Folic acid)” มีบทบาทใน “การสังเคราะห์ DNA & RNA รวมถึงการสังเคราะห์กรดอะมิโนบางตัว” เช่น Glycine, Methionine และทำงานร่วมกับ B12 ในการสร้างเม็ดเลือด

ถ้าขาดจะเกิดอาการปากเปื่อย ลิ้นแดงอักเสบ ท้องเดิน น้ำหนักตัวลด เป็นโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโตกว่าปกติ (Megaloblastic anemia) ผมหงอกเร็ว เฉื่อยชา เกียจคร้าน ขี้ลืม แก่เร็ว

วิตามิน เอช (Vitamin H) คือ ไบโอติน (Biotin) หรือ วิตามินบี 7 (Vitamin B7)

วิตามิน เอช (Vitamin H) คือ ไบโอติน (Biotin) หรือ วิตามินบี 7 (Vitamin B7) มีความจำเป็นต่อ ดีต่อเส้นผม ผิวหนัง และเล็บของเรา ถ้าขาดจะเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง โคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ

ไบโอติน (Biotin) เป็น วิตามินที่ละลายในน้ำได้ มีความสำคัญอย่างมากในการเจริญเติบโตของเซลล์ ระบบเผาผลาญอาหาร และที่สำคัญยังทำหน้าที่ เสริมสร้าง เคราติน (Keratin) ให้แข็งแรงอีกด้วย

ซึ่ง เคราติน (Keratin) นั้นก็ คือ โปรตีนที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเล็บ เส้นผม ผิวหนัง ของร่างกายเรา

อาหารที่มี ไบโอติน (Biotin)

อาหารที่มี ไบโอติน (Biotin) ปริมาณสูง ดีต่อเส้นผม ผิวหนัง และเล็บของเรา ได้แก่ ไข่แดง จมูกข้าวสาลี ถั่วเปลือกแข็ง กล้วย เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว ตับ เป็นต้น

ในวัยผู้ใหญ่นั้นต้องการไบโอตินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปริมาณแค่ 30 ไมโครกรัมต่อวัน แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนจะส่งผลให้ปริมาณไบโอตินในอาหารลดลง ดังนั้นควรกะปริมาณให้พอดีต่อความต้องการของร่างกาย

ประโยชน์ของ ไบโอติน (Biotin)
  1. ลดอาการขาดร่วงของเส้นผม
  2. ชะลอผมหงอกก่อนวัย
  3. ป้องกันโรคเกี่ยวกับผิวหนัง
  4. ป้องกันหนังศีรษะล้าน
  5. บำรุงโครงสร้างเส้นผมให้แข็งแรง
  6. บำรุงเล็บให้แข็งแรง ไม่เปราะ หัก ฉีกขาดง่าย
  7. ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ตามปกติ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ประโยชน์ของ ทับทิม มะเขือเทศ และ ไลโคปีน

สรุปคุณประโยชน์ ของ ไลโคปีน

  1. ไลโคปีน เป็นสารสําคัญจาก พืช พบมากในมะเขือเทศ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความผิดปกติและ ความเสื่อมของเซลล์จากการทําลายของอนุมูลอิสระ ช่วยบํารุงผิว
  2. มีงานวิจัยว่าช่วยลดมะเร็ง ต่อมลูกหมาก ลดการเติบโต ของโรคต่อมลูกหมากโต
  3. ลดความเสี่ยงของมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็ง หลอดอาหาร และมะเร็งรังไข่
  4. ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ และเพิ่มปริมาณอสุจิในผู้ชาย
  5. ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ในภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย
  6. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด

โรคหรือกาวะที่อาจแนะนำ ไลโคปีน

  1. สุภาพบุรุษที่มีอายุมาก หรือมีภาวะเสี่ยงต่อ การเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากโต
  2. สุภาพสตรี เพราะไลโคปีนบํารุง ผิวพรรณ จากกลไกการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยโรคหัวใจ

ข้อห้าม- ข้อควรระวัง ของ ไลโคปีน

  • ห้ามในผู้ที่รับประทาน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน

เกลือแร่ใน Supraa Vit 1 เม็ด มี เกลือแร่ 8 ชนิด

  1. โมลิบดินัม 32 มคก.
  2. โครเมียม 26 มคก.
  3. ไอโอดีน 150 มคก.
  4. ชีลีเนียม 14 มคก.
  5. เหล็ก 7.5 มก.
  6. ทองแดง 0.4 มก.
  7. แมงกานีส 0.7 มก.
  8. สังกะสี 3 มก.

โมลิบดีนัม (Molybdenum)

“โมลิบดีนัม (Molybdenum)” เป็น “ส่วนประกอบในเอนไซม์หลายชนิด” เป็นส่วนที่จำเป็นสำหรับเอนไซม์ แซนธีน ออกซิเดส ซึ่งสำคัญในการเคลื่อนย้ายเหล็กออกจากตับ และจำเป็นสำหรับเอนไซม์อัลดีไฮด์ ออกซิเดส ซึ่งสำคัญในกระบวนการออกซิเดชั่น

โครเมียม (Chromium)

“โครเมียม (Chromium)” เป็น” ส่วนประกอบในเอนไซม์หลายชนิด” เป็นส่วนที่จำเป็นสำหรับเอนไซม์ แซนธีน ออกซิเดส ซึ่งสำคัญในการเคลื่อนย้ายเหล็กออกจากตับ และจำเป็นสำหรับเอนไซม์อัลดีไฮด์ ออกซิเดส ซึ่งสำคัญในกระบวนการออกซิเดชั่น

เป็นแร่ธาตุจำเป็นช่วยในการควบคุมการเผาผลาญของกลูโคสตามปกติสำคัญในการสังเคราะห์กรดไขมันและโปรตีน

ไอโอดีน (Iodine)

“ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นสำหรับสุขภาพ และการทำหน้าที่ของ “ต่อมไธรอยด์” สำหรับผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ ไธรอกซิน และไตรไอโอโดไธโรนิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการเผาผลาญการผลิตพลังงานและอัตราการเจริญเติบโต รวมถึงยังช่วยในการรักษาผิวหนัง เล็บ และผม ให้มีสุขภาพดี ถ้าขาดจะเซื่องซึม เหนื่อยง่าย ความดันต่ำ ผิวหนังและผมแห้ง เป็นโรคคอพอก โคเลสเตอรอลสูง เป็นโรคหัวใจ ไม่สนใจทางเพศ

ซีลีเนียม (Selenium)

“ซีลีเนียม (Selenium)” เป็น “Antioxidant ทำงานใกล้ชิดกับวิตามินอี” เพื่อรักษาเนื้อเยื่อต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่น และช่วยให้หัวใจทำหน้าที่ได้ดีขึ้น สำคัญในการช่วยไม่ให้เป็นหมัน โดยช่วยให้เชื้ออสุจิมีความแข็งแรง ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อการเป็นโรค ถ้าขาดจะทำให้แก่ก่อนวัย กล้ามเนื้อฝ่อ เป็นโรคหัวใจ และอาจเป็นหมัน มะเร็งในระบบย่อยอาหาร

เหล็ก (Iron)

“เหล็ก (Iron) ” เหล็กรวมกับโปรตีนและทองแดงเพื่อสร้างฮีโมลโกบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ”เลือด” จำเป็นสำหรับเอนไซม์ช่วยในการเผาผลาญโปรตีน ถ้าขาดจะเป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากจำนวนฮีโมโกลบินลดน้อยลงในเม็ดเลือดแดง ผิวหนังซีด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดหัว ความต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง

ทองแดง (Copper)

“ทองแดง (Copper)” จำเป็นเพื่อให้ “เหล็กถูกดูดซึม” และจำเป็นสำหรับ “การเผาผลาญโปรตีนร่วมกับวิตามินซี” ในการสร้งอีลาสตินสำคัญในระบบโครงสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ถ้าขาดจะมีอาการโลหิตจางเนื่องจากการดูดซึมเหล็กไม่ดี ผมร่วง ผมหงอก มีแผลที่ผิวหนัง

แมงกานีส (Manganese)

“แมงกานีส (Manganese)” มีความสำคัญใน “ระบบเอนไซม์ต่างๆ” ซึ่งจำเป็นสำหรับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยในการขนส่งสัญญาณระหว่างสมอง ประสาท และกล้ามเนื้อ จำเป็นสำหรับระยะให้นมลูกและการสร้างเสริมระบบโครงสร้างของร่างกาย ถ้าขาดการเจริญเติบโตจะช้า กล้ามเนื้อไม่มีแรง การทรงตัวไม่ดี การสร้างกระดูกและกระดูกอ่อนผิดปกติ

สังกะสี (Zinc)

“สังกะสี (Zinc)” ช่วยในการ “สังเคราะห์โปรตีน” เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งสำคัญในการย่อยอาหารและการเผาผลาญ จำเป็นสำหรับการหายใจของเนื้อเยื่อ จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ถ้าขาดจะทำให้การเจริญเติบโตช้า แผลหายช้า เป็นโรคผิวหนัง มีจุดขาวที่เล็ก เบื่ออาหาร ผมร่วง มีรังแค การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ผนังหลอดเลือดแข็ง

เรียบเรียงและจัดทำโดย Sirikul Shop

กิฟฟารีน ซูปราวิต-ดับเบิ้ลยู (60 เม็ด)

ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 เม็ด:
ไดแคลเซียมฟอสเฟต ไดไฮเดรต 625 มก.
ผงวิตามินและเกลือแร่รวม 250 มก.
จมูกถั่วเหลือง 100 มก.
วิธีรับประทาน:
วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร

คำเตือน: อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค

รหัสสินค้า : 40516

เลขที่จดแจ้งผลิตภัณฑ์ : 13-1-03440-1-0085

ขนาด กxยxส : 5.5×5.5×10

น้ำหนัก/กิโลกรัม : 0.11

รีวิว

ยังไม่มีบทวิจารณ์

มาเป็นคนแรกที่วิจารณ์ “อาหารเสริม วิตามิน และ เกลือแร่รวม ผสม จมูกถั่วเหลือง สำหรับคุณผู้หญิง ชนิดเม็ด กิฟฟารีน ซูปราวิต-ดับเบิ้ลยู (60 เม็ด)”

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Shopping Cart
Scroll to Top